วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร่วมสานฝันปันรอยยิ้ม


วันนี้ NuToi รับหน้าที่ประชาสัมพันธ์ โครงการ “สานฝันปันรอยยิ้ม ครั้งที่ 4” ชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวโอเคเนชั่น ทำบุญร่วมชาติ...อิอิอิ แต่ไม่ได้ชวนตักบาตรร่วมขันนะคะ เพราะงานนี้ไม่เกี่ยวกับพระกับเจ้าค่ะ..
โครงการนี้ เหล่าชาวอนุรักษ์เทคโนโคราชและมิตรสหาย ภายใต้ ชื่อ “ชมรมสานฝันปันรอยยิ้ม” จัดเตรียมงานกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร ทั้งศึกษาข้อมูลและความต้องการรวมถึงสิ่งที่ขาดแคลน...




โดยกิจกรรมที่เราจะทำบุญร่วมชาติ เพื่อ สานฝันปันรอยยิ้ม ให้แก่ น้องๆ ที่โรงเรียนบ้านห้วยน้ำผัก ต.แสงภา อ.นาแห้ว จ.เลย ในครั้งนี้คือ
ต่อเติมและปรับปรุงสิ่งก่อสร้าง อาคารต่างๆ
บริจาคสื่อการเรียนการสอน รองเท้า ชุดกีฬา จักรยาน และอื่นๆ
กิจกรรมสันทนาการ เลี้ยงอาหารกลางวัน แจกของเล่น ชมการแสดงพื้นเมืองจากเด็กๆในชุมชน
กิจกรรมเรียนรู้และศึกษาวิถีชีวิตชุมชน



งานครั้งนี้ จัดออกมาในรูปแบบกิจกรรม งานค่ายค่ะ..ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันหยุดรัฐธรรมนูญที่จะถึง คือ ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2510 รายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ สามารถดูได้จาก http://www.punroyyim.com/
พี่ๆ น้องๆ เพื่อน ชาวโอเคเนชั่น ท่านใดสนใจ ไปร่วมงานหรือสนใจบริจาค แจ้งความจำนงค์ ได้นะคะ...ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ..
ท้ายนี้ NuToi มีข้อความและบทกลอน จากน้องชายร่วมอุดมการณ์ มาฝากด้วยค่ะ


วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

เก็บดาว...


จะเก็บดาวน้อยมาร้อยเป็นมาลัย

ฉันจะเก็บเอาดอกไม้ที่เบ่งบานในยามเช้า

จะก่อไฟให้เธออิงกายยามเหน็บหนาว

จะเล่าเรื่องราวเก่าๆ ให้เจ้าฟัง


ฉันเป็นชายหนุ่มจากบ้านนอกคอกนา

ไร้ปริญญามีเพียงแต่ความฝัน

ฉันมีชีวิตอยู่ไปวันวัน เพียงเพื่อสร้างสรรค์ให้โลกนี้งดงาม


ฉันกำเนิดมาเพื่อจะเป็นผู้ให้

มอบกายใจไว้กับบทเพลงแห่งเสรี

หัวใจฉันเต้นไปตามเสียงดนตรี

ตราบชีวิตมี จะกล่อมโลกนี้ไม่ร้างลา


หลับเถิดเด็กน้อย ไว้เรียนรู้เรื่องราว

ตื่นเถิดหนุ่มสาว ฝันของเจ้ามีความหมาย

พักก่อนเถิดหนาผู้อ่อนล้าจากแดนไกล

เก็บแรงเจ้าไว้ต่อสู้วันใหม่ที่จะมา



















วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

คำพิพากษา...กับโชคชะตาของผู้หญิงคนหนึ่ง

เคยอ่านหนังสือเรื่องคำพิพากษา บทกวีซีไรท์ ของ ชาติ กอบจิตติ ..อ่านแล้วรู้สึกเศร้าและสะท้อนใจไปเป็นอาทิตย์ ด้วยเนื้อที่บีบคั้นความรู้สึกของผู้อ่าน เกิดความรู้สึกสงสารไอ้ฟักจับใจ สัจธรรมที่ว่าสิ่งที่เห็นไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป ในนิยายเรื่องนี้ใช้ไม่ได้ผล..เนื่องจากมีเพียงไอ้ฟักและผู้อ่านเท่านั้นที่รับรู้ความจริงอันเจ็บปวดและน่าสงสารของไอ้ฟัก..แม้ตายเป็นเถ้า ความจริงก็ไม่ปรากฏ.....

เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ..ที่ฉันรู้จักดี..แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงเท่าเรื่องของไอ้ฟัก..แต่มันก็ทำให้เธอผู้นั้นรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย...เธอผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงเก่งที่ความเป็นตัวของตัวเองและมีความมั่นใจในตนเองสูง มีอุปนิสัยร่าเริง เธอไม่ใช่ผู้หญิงแสนดีเป็นผ้าพับไว้ เธอมีแต่ความห้าวๆ กระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกระโหลก!!!

อาจด้วยเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ความมีน้ำใจ หรือเป็นคนที่ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของคนรอบข้าง..สิ่งนี้เองน่าจะเป็นเสน่ห์ในตัวเธอ ที่ทำให้เธอมีคนเดินเข้ามาในชีวิตมากมาย ทั้งที่เธอมิใช่คนสวย!!!!

และสิ่งที่ฟังแล้วเหมือนจะดีเหล่านี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเธอเอง..เพราะคนที่เดินเข้ามามากมายในชีวิตเธอเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ตัวและคนคุ้นเคย..ผิดด้วยหรือที่เธอมีแฟนเป็นเพื่อน หรือมีเพื่อนเป็นแฟน..คำถามนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีเพื่อนคนอื่นๆ ที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับ คนที่ถูกเธอยกฐานะขึ้นไปเป็นแฟน!! โดยเขาคนนั้นได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจลึกๆ ด้วยเธอเลือกเพื่อนของเขาไปแล้ว...เขาซึ่งก็มีเพื่อนสาวในกลุ่มเดียวกันชื่นชอบ..และตัดสินใจคบกันในเวลาต่อมา วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี..ความสัมพันธ์ของทุกๆคนก็ดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอและแฟนหนุ่ม มีอันต้องห่างเหินกันด้วยแฟนหนุ่มตัดสินใจไปเรียนต่ออีกสามปี..ช่วงนั้นเอง เธอซึ่งโดยปกติ เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ มีหนุ่มแยะ(ล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ตัวเช่นเดิม..หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีเพื่อนกลุ่มไหน ก็ถือว่ามีหนุ่มๆ กลุ่มนั้นให้ความรู้สึกที่ดีอยู่เสมอ) และแฟนของเธอก็ทราบเรื่องนี้ดี..แต่สองคนไม่เคยมีปัญหาเพราะไม่มีเรื่องปิดบังซึ่งกันและกัน แม้อยู่ห่างกันก็จะโทรเล่าสู่กันฟังเสมอ..แต่เขาซึ่งเป็นเพียงเพื่อนไม่ได้คิดเช่นนั้น..เขาแสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นอันมากที่มีชายหนุ่มมารับเพื่อนสาวของเขาไปทานข้าว..ถึงขั้นกระชากคอเสื้อจะชกกับผู้ชายคนนั้น..นี่มันกงการอะไรของเพื่อนเนี่ยยยย!!! ..แฟนยังไม่ว่าสักคำ..คำถามเกิดขึ้นจากปากของเธอ..จึงได้รู้ว่า..ถ้าไม่ใช่เพื่อนของเขา..เป็นเขาได้มั้ย..ต้องไม่ใช่คนอื่น

วันเวลาผ่านไปอีกสองปีความห่างของเธอและแฟนยังเหมือนเดิม..เธอทำงาน..ส่วนแฟนยังคนเรียนต่อ..เขาคนนั้นไม่หาเธอที่บ้านพร้อมยิงคำถามและขอเป็นคำตอบสุดท้าย..ถ้าไม่ใช่เพื่อนเขา..ขอเป็นเข้าได้มั้ย..เธอถามย้อนกลับมาว่า แล้วเพื่อนฉันอีกคนล่ะ..เธอเอาเขาไว้ที่ตรงไหน..เขารักเธอมากนะ เขาตอบกลับมาว่า ถ้าเธอเลือกเขา เขาจะเลิกขอเพียงแค่เธอตกลง..คำเดียวเท่านั้น เขาพร้อมที่จะรอ..แต่คำตอบคือ เธอเลือกแฟนของเธอ และต่อว่าเขากลับไปว่า เห็นแก่ตัว เธอจะรักจะเลิกกันอย่าเอาฉันไปเป็นตัวแปรได้มั้ย..เขาตอบเธอเพียงว่า ถ้าเธอไม่เลือกเขา จะให้เขาเลิกมาเพื่อจะอยู่คนเดียวทำไม..มีคนดูแลก็ดีอยู่แล้ว ท้ายที่สุด กลับกลายเป็นว่าแฟนของเขารับรู้เรื่องของเรา (ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากมายเพียงแค่ความรู้สึกของเขาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เธอก็มิได้เห็นดีเห็นงามใดใดทั้งสิ้น) เธอถูกเพื่อนๆ รุมพิพากษา ว่าทำตัวไม่ดี รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแฟนของเพื่อน อีกทั้งเป็นเพื่อนของแฟน ยังไปยุ่งไปเกี่ยว ซึ่งมุมมองที่เพื่อนๆ มองเธอคือ เธอเป็นคนเจ้าชู้ มีคนมาชอบพอเยอะ และเธอก็ไม่เคยปฏิเสธใครแม้แต่คนเดียว ทั้งที่เธอมีแฟนเป็นตัวตนอยู่แล้ว..แฟนของเขาซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักและสนิทกันทั้งหมด ไม่มองหน้าเธอ ไม่พูดกับเธอ...เธอผิดอะไรหรือ???

เวลาอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าอะไรเป็นอะไร..แต่แก้วที่มันร้าว คงทำให้มันต่อกันสนิทโดยไม่มีร่องรอยคงเป็นไปไม่ได้...เวลาผ่านไปเพื่อนก็คือเพื่อน..อาจจะกลับมาคบกันเหมือนเดิม..แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว..ยังมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจตลอดไป

ในเวลาต่อมา..หรือฟ้าดินลงโทษ..หรือว่าเป็นกรรมเก่า..เธอกับแฟนมีอันต้องเลิกรา รักแท้แพ้ระยะทางเสมอ แฟนของเธอพบรักใหม่ ในช่วงเวลาของการไปเรียนต่อ..ซึ่งข้อหาของเธอ ที่ไม่สามารถเดินร่วมทางกับเขาได้อีกต่อไปคือ "เธอเก่งเกินไป...อยู่กับเธอเหมือนอยู่กับหัวหน้า..หรืออยู่กับเจ้านาย" เธอผิดอีกแล้วหรือ" เธอยินยอมจากไปโดยดี เมื่อไม่มีใจให้กัน..รั้งกันไว้ก็รังแต่จะทรมานทุกฝ่าย เขาเจอคนที่ใช่ และดีพอสำหรับเขา แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้..ดีซะอีก เราจะได้มีเพื่อนที่สนิทและรู้ใจมากที่สุดหนึ่งคน..เธอบอกเขาเพื่อให้เขาไม่รู้สึกผิดที่ทอดทิ้งเธอ..

จากนั้นชีวิตที่เหลือเธอก็ใช้ชีวิตโสดอย่างคุ้มค่าเรื่อยมา..เธอมีเพื่อนมากมาย เธอไม่มีเวลาเหงา เธอมีงานดีดีทำ มีชีวิตที่ดี...และแล้ววันหนึ่ง ชีวิตเธอโคจรกลับมาพบกับเพื่อนเก่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในกลุ่มเดิมที่หลงเหลือ..เป็นเพื่อนรักของแฟนเก่า...เป็นเพื่อนรักที่พูดคุย ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และสม่ำเสมอ..เพียงเคยเจอหน้า..เมื่อวันหนึ่งที่ได้เจอหน้ากันความรู้สึกดีๆ อบอุ่นและผูกพัน กลับคืนมา เพื่อนกลับกลัวว่าเราจะคบกัน และอาจทำให้เสียเพื่อนหาก..เขาและเธอคิดลงเอย....เพื่อนทั้งหลายเกรงกลัวอะไรในตัวเธอ..เธอน่ากลัวที่ตรงไหน..เธอทำผิดอะไร คำถามที่ยังต้องการทำตอบและความคิดเห็นของคนที่เป็นกลาง...ไม่ใช่คนที่มองเพียงสิ่งที่เห็น...เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

..ในซากรังเดิม...

เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องอยู่เป็นเวลานาน แต่ฉันหาได้ใส่ใจไม่..ยังคงท่องเน็ตและแชทเอ็ม กับเพื่อนอย่างเพลิดเพลิน แต่เมื่อเสียงฟ้าผ่า เปรี้ยงปร้าง ดังอยากจากทิศทางใดทิทราบได้ มันทำให้ฉันลนลาน ปิดคอมพิวเตอร์แทบไม่ทันเชียวล่ะ..และรีบเดินออกประตูด้านข้างฝั่งระแนงม่านบาหลี เพื่อปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย..เพื่อกันฝนและแขกผู้มิได้รับเชิญจะเข้าบ้านมาอยู่เป็นเพื่อน..ซึ่งฉันไม่ต้องการเพื่อนแบบนั้นนนนนน!!!!

สายฝนเริ่มโปรยปรายมา มองดูที่ท่าแล้วน่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่ฉันโผล่พ้นวงกบประตู..มีเสียงพึบพับ ดังมาจากเหนือศีรษะ ฉันมองตามเสียงนั้นขึ้นไปด้วยความตกใจ..นกตัวหนึ่งบินหนีไปด้วยอาการเหมือนว่าตกใจกลัวฉันเช่นกัน...เอาอีกแล้วหรือ???? เจ้านกมาทำรังตรงนี้อีกแล้ว..ฉันเพิ่งย้าย ด้วยความรู้สึกผิด ใน entry "รังนอน..ที่หายไป" แล้วเจ้าจะมาทำให้ฉันรู้สึกแย่อีกแล้วหรือนี่!!!!..คิดได้ดังนั้น จะต้องรีบเอาเศษไม้เก่าที่ยังเอาออกไม่หมด เมื่อครั้งย้ายรังนก คราวก่อน..เอาออกเสียตั้งแต่เขายังก่อร่างสร้างตัวไม่เสร็จ จะได้ไม่รู้สึกแบบเดิมอีก..คิดได้ดังนั้นก็คว้าเก้าอี้มาปีน...!!! ไม่ทันซะแล้วววว!!!!




บนระแนงที่เป็นซากของรังเดิมที่ฉันเก็บเศษกิ่งไม้ออกไปไม่หมด..ตอนนี้มีไข่ใบเล็กๆ นึกใบ นอนเด่นเป็นสง่า..สร้างความลำบากใจให้เจ้าของสถานที่อย่างฉันซะแล้ว..จะต้องสร้างเป็นมูลนิธิ หรือสถานสงเคราะห์นกไร้ที่อาศัยหรือเปล่านเนี่ย.. หน้าบ้านอีกสองรัง ซึ่งฉันก็ปล่อยให้เขาเป็นธรรมชาติเนื่องจากถือว่าพออภัยและแบ่งปันที่อยู่อาศัยให้ได้ เนื่องจากอยู่กลางกอเฟื่องฟ้า..และอยู่กลางพุ่มลีลาวดีใบลูกศรนั้น คงไม่มีเจ้าขี้นกมารบกวนเจ้าของบ้าน..แต่ที่ตรงนี้สิ..จะจำอย่างไรดี...เฮ้อออ!!! กลุ้ม!!!!

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านฉันไม่ใช่บ้านแม่มด..


สมัยก่อนเคยอ่านนิทานหลายเรื่อง เขาเล่ากันว่า บ้านแม่มดจะเป็นบ้านที่ไม่มีดอกไม้...เป็นบ้านที่มีแต่ความอึมครึมน่ากลัว..และเพื่อนๆก็มักชอบเรียกฉันว่า Pink Devil หรือแม่ปีศาจสีชมพู..ฟังดูเหมือนจะน่ารักนะคะ..แต่คำว่าปีศาจก็ต้องร้ายกาจน่ากลัวอยู่ดี(ด้วยความเป็นคนไม่ยอมคน วิ่งชนดะ เป็นเดือดเป็นแค้นทุกเรื่องแทนเพื่อน เป็นแม่จอมวางแผน(ร้ายๆ) ในทุกๆเรื่อง อิอิอิ)..
เช้าวันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ หลังจากฝนตกหลายวันเกรงว่าจะมีนกมาทำรังที่เดิม ให้ได้ทำบาปอีกรอบเหมือนในบทความตอนที่แล้ว “รังนอน..ที่หายไป” เลยเปิดประตูและแหวกหญ้าที่ขึ้นมาเกือบถึงเข่าอีกแล้ว..ก็ช่วงนี้ฝนตกหนักทุกวัน ซึ่งโดยปกติภาคตะวันออกก็เป็นภาคที่มีแค่สองฤดูกาลอยู่แล้ว คือฝน กับ ร้อน.. ทำให้ไม่มีโอกาสได้ตัดหญ้าสักทีและหญ้าก็ยาวเร็วมากเพราะได้น้ำดี..เดินผ่านไปดู สับปะรดสี กอที่เพื่อนรักได้มาสองต้น และแบ่งให้เราหนึ่งต้น..เขาบอกว่าเมื่อเลี้ยงไปสักพักปลายมันจะเปลี่ยนสี..สงสัยดวงเราคงสมพงษ์กัน สับปะรดกอนั้นเปลี่ยนเป็นปลายสีแดงสวยงาม และที่ตื่นเต้นกว่านั้น..มีดอกออกมาด้วยหนึ่งคู่...

จากนั้นฉันก็เริ่มเดินชม อุทยานดอกไม้ส่วนตัวท่ามกลางป่าหญ้ารกชัฏ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าบ้านฉันเนี่ย ไม่ใช่บ้านแม่มดนะเพราะดอกไม้มากมายพร้อมใจกันออกดอกให้ชื่นชมอยู่ตลอด..ใครๆ ก็ชอบชื่นชมดอกไม้ทีบ้านฉัน...ทั้งที่เลี้ยงดูแบบบุฟเฟ่....ไม่น่าเชื่อว่าบ้านจัดสรรหลังเล็กๆ จะมีพันธุ์ไม้ได้มากมายขนาดนี้ ไหนจะ เล็บมือนางพันรั้วและพวงแสดที่ไปตัดกิ่งมาจากบ้านพี่สาว นำมาปักไว้ใต้ต้นเฟื่องฟ้าซึ่งกำลังโต อีกไม่นานฉันคงเห็นมีเป็นสีส้มปนชมพูเต็มรั้วแน่ๆเลย....

มาชมกัน..นี่ไงคะ...ดอกไม้บานที่บ้าน Pink Devil แม่ปีศาจ สีชมพู อย่าง T.GAng



เอื้องหมายนา จำปา แลจำปี
ทั้งม่านบาหลี ลีลาวดีใบลูกศร
ดาวกระจาย ท้าทาย หมู่ภมร
อีกมังกรคาบแก้ว บานบุรี
ดอกชวนชม หลั่นล้า มาเป็นคู่
แดงชมพู หยอกล้อกับ สับปะรดสี
เล็บมือนาง จันทร์กระจ่างฟ้า ยามราตรี
เฟื่องฟ้ามี อีกกล้วยไม้ มะลิวัลย์
ดาหลา พลับพลึง ชงโค
โอ้โห เบิร์ดออฟพาราไดซ์ บัวสรรค์
กระดังงา พวงแสด เร่งดอกพลัน
มิเช่นนั้น เจ้าจัก พ่ายพุดพิชญา
ระรานตา มากมาย หลายดอกสี
บ้านฉันนี้ ใครเห็น เป็นถามหา
ดอกนี้ ดอกนั้น ท่านได้ แต่ใดมา
ฉันตอบว่า ของฟรีจาก หลากผู้เยือน....

...ใครสนใจแจกพันธุ์ไม้ยินดีรับนะคะ...อิอิอิ


วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

โอ้ดวงจำปา....บุปผาเมืองลาว




..จากจำปาลาว ถึงลั่นทม สู่ลีลาวดี...



ดอกจำปาลาว ที่หลายคนหลงไหลรูปลักษณ์หรือรูปทรงของดอก..ดอกไม้ซึ่งใช้ชีวิตในเมืองไทยในนาม”ดอกลั่นทม” และต่อมาถูกเรียกอยากสวยงามตามหน้าตาของดอกว่า”ลีลาวดี” คือดอกไม้ที่เพื่อนรัก เพื่อนเก่าของฉันหลงไหล...เขาบอกฉันว่า เมื่อได้ฟังเพลงนี้หรือเห็นดอกไม้ชนิดนี้ รู้สึกคิดถึงพวกเรา คิดถึงเพื่อนเก่า ที่เคยกิน เคยนอน เคยทำกิจกรรมร่วมกันมา...แต่ฉันบอกเขาว่าในมุมมองของฉัน เขาเป็นดอกไม้ที่ดูแล้ว บอบบาง และเศร้าสร้อย..เขาตอบกลับมาทันทีเช่นกัน..เขาหลงรักมันที่ตรงนี้..ตรงความบอบบางและเศร้าสร้อย..ของมัน...






...นี่เองสินะคือมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนหลงไหล..”ดวงจำปา” ..เพราะคนส่วนใหญ่มักชอบอะไรที่ดูบอบบาง น่าทนุถนอม มากกว่าความแข็งแกร่ง ทนทาน ที่ดูแล้วเหมือนจะไม่ต้องการ ความเอาใจใส่ดูแล...
ส่วนฉันก็มีความหลังกับดอกดวงจำปานี้เช่นกัน...เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนรักของฉัน ซึ่งเป็นผู้ "ปิดตำนานบ้านสาวโสด" ก่อนหน้าที่จะทำการปิดตำนานนี้ มีเรื่องไม่เข้าใจกันกับคนรัก..แต่ท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากคุณแม่ผู้รักเอ็นดูว่าที่ลูกเขยคนนี้เสียเหลือเกินได้วางแผนนัดแนะให้เรามาทานอาหาร บรรยากาศโรแมนติก ที่มุมอร่อยพัทยา..ชายหนุ่มผู้มิเคยโรแมนติกเลย..แต่ด้วยความรัก..เขาหอบกิ่งดวงจำปาที่หักมาจากในร้าน (เจ้าของร้องร้านจ๊าก นี่ดวงจำปาจากเมืองลาวเชียวนะ) นักคุกเข่าที่พื้นทรายขอเธอแต่งงาน ท่ามกลาง สายตาของคนทั้งร้าน...สาวเจ้ารับรักด้วยความรู้สึก ทั้งอายทั้งดีใจระคนกัน..เมื่อเธอตกลง..เจ้าของร้านและฉันกองเชียร์หลัก จึงจัดงานแต่งงานให้ทั้งคู่ทันที..ว่าแล้ว..แท่ม แทม แท แดม แท่ม แทม แด แดม...


ทันใดนั้นเอง พี่อู๊ดเจ้าของร้านมุมอร่อยพัทยา ผู้ขี้เล่นแบบน่ารักๆ ยืนขึ้นบนเก้าอี้ พร้อม แปลงร่างเป็นบาทหลวง..ส่วนฉันก็เป็นเพื่อนรักที่รอรับช่อ ดวงจำปาช่อนั้น ซึ่งโยนมาเล้ยยย..ตอนนี้ไม่มีคนแย่ง อิอิอิ...เพื่อนำกลับมาปลูกที่บ้าน...เพราะในงานจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ไปกี่งาน..ไม่เคยแย่งช่อดอกไม้ของเจ้าสาวได้เลย...

ส่วนที่มาที่ไปของการฟังเพลงหรือการเห็นดอกดวงจำปานี้ แล้วทำให้คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนเก่า คงมาจาก คำร้องของ เพลงดวงจำปา ฉบับเมืองลาว ซึ่ง อุตมะ จุลมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลาว ได้แต่งเพลงนี้ไว้ในช่วงที่เข้าร่วมชบวนการต่อสู้กู้เอกราชคืนจากฝรั่งเศส เมื่อเกือบห้าสิบปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวให้กับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในสมัยนั้นได้เห็น โดยอุตมะ ได้ใช้ “ดอกจำปา” หรือดอกลั่นทม ที่ชาวลาวนิยมปลูกแต่ในอดีต เป็นสื่อบอกถึงความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของชาวลาว โดยใช้ทำนองขับทุ้มหลวงพระบางในการเอื้อนเพลง ดวงจำปา เพลงนี้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว และสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชาติลาว ในที่สุดฝรั่งเศสก็ยอมคืนเอกราชให้กับประเทศลาวได้ปกครองตนเอง และหลังจากการปฏิวัติม่วนซื่นในลาวเสร็จสิ้นลงเมื่อปี 2518 ท่านผู้นำลาวทั้งหลายก็ได้พร้อมใจกันเลือก ดวงจำปาเป็นดอกไม้ประจำชาติ ตลอดสองฝั่งโขงจากลาวเหนือที่พงสาลีจรดจำปาศักดิ์ที่ปากเซก็นิยมขับทุ้มเพลงนี้กันทั่ว





โอ้ดวงจำปา....เวลาซมดอก นึกเห็นพันซ่อง.... มองเห็นหัวใจ เฮานึกขึ้นได้....ในกลิ่นเจ้าหอม

เห็นสวนดอกไม้....บิดาปลูกไว้....ตั้งแต่นานมา เวลาง่วมเหงา....เจ้าซ่วยบรรเทา....เฮาหายโศกา

เจ้า ดวงจำปา....คู่เคียงเฮามา.... แต่ยามน้อยเอย

กลิ่นเจ้าสำคัญ....ติดพันหัวใจ เป็นน่าฮักใคร่....แพงไว้เซยซม ยามเหงาเฮาดม....เอ๋ยจำปาหอม

เมื่อดมกลิ่นเจ้า....ปานพบเพื่อนเก่า...ที่พรากจากไป เจ้าเป็นดอกไม้....ที่งามวิไล...ตั้งแต่ใดมา

เจ้าดวงจำปา....มาลาขวัญฮัก...ของเฮียมนี้เฮย โอ้ดวงจำปา....บุปผาเมืองลาว

งามดั่งดวงดาว.... ชาวลาวเพิ่งใจ เกิดอยู่ภายใน....แดนดินล้านซ้าง

ถ้าได้พลัดพราก....หนีไปไกลจาก....บ้านเกิดเมืองนอนเฮาจะเอาเจ้า....เป็นเพื่อนบรรเทา....เท่าสิ้นซีวา

เจ้าดวงจำปา....มาลางามยิ่ง....มิ่งเมืองลาวเอย

ต้นจำปาลาวหรือ ลั่นทม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน แตกกิ่งเป็นแฉกเป็นง่ามกระจายออก ทำให้เกิดทรงพุ่มใหญ่ กิ่งเปราะง่าย ทิ้งใบในฤดูแล้ง แล้วผลิดอก และใบรุ่นใหม่ ในช่วงราวเดือนเมษายนเป็นต้นไป เราจะได้ชมดอกลั่นทมบานเต็มต้น ปราศจากใบบัง สวยงามมาก ใบลั่นทมโตเป็นรูปใบหอก แข็งแรงมีสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ถ้าต้นสมบูรณ์ดี ช่อหนึ่งจะมีดอกหลายสิบดอกเป็นกลุ่มสวยงามมาก มีกลีบดอก 5 กลีบ มีหลายลักษณะ บางชนิดกลีบเวียนซ้อนกัน บางชนิดกลีบดอกเรียงกัน บางชนิดปลายกลีบดอกแหลม บางชนิดปลายกลีบดอกมน มากมายหลายสี บางต้นอาจมีดอกมีสีเดียว เช่น ขาว แดง ชมพู แต่บางต้นจะมีดอกที่มีสีแซมกันเป็นหลายสี ขนาดดอกใหญ่ เล็ก ต่างกัน ดอกลั่นทมมีกลิ่นหอมพิเศษ ช่วยให้ผ่อนคลาย ส่วนที่จะหอมมาก หอมน้อย นั้นต่างกันไปแต่ละชนิด จึงเป็นที่นิยมใช้กันมากในวงการสปา และเป็นไม้มงคลของผู้เกิดราศีมีน


ประวัติการเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้นมีหลายกระแสความด้วยกัน บ้างบอกว่าลั่นทมเข้ามาในประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนประเทศอินโดนีเซีย เป็นพันธุ์ดอกสีขาว ใบสีเขียวเข้ม โดยนำมาปลูกที่พระราชวัง บนเขาวัง และที่เกาะสีชัง แต่ก็ยังมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าลั่นทมได้เข้ามายังประเทศไทยก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยมีบทวรรณกรรมของสุนทรภู่ ซึ่งเกิดและเติบโตในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้กล่าวถึงดอกลั่นทมไว้หลายเรื่อง เช่นเดียวกับบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 เรื่องอิเหนาที่กล่าวถึงต้นลั่นทม
“เดินพลางทางชมพรรณไม้ พฤกษาใหญ่เรียบเรียงรื่นร่ม ริมทางหว่างเขาล้วนลั่นทม ต้องลมดอกดวงร่วงเรี่ยทาง”
อิเหนา…พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2
การเดินทางของดวงจำปา
ตามที่เล่า กันต่อๆ มาว่า ต้นลั่นทม ไม่มีใครมาปลูกในบ้านกันหรอก เพราะชื่อฟังแล้วก็ดูระทมแล้ว แต่ในปัจจุบัน ไม้พันธ์นี้ เป็นที่นิยมกันมาก เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณราวพุทธ ศตวรรษที่ 17 โดยเข้ามาทางอาณาจักรขอม (ประเทศกัมพูชา) ในยุคสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่2 (พ.ศ. 1650 – 1700) เป็นกษัตริย์ผู้ทรงสร้างพระนครวัด ในครั้งนั้นเจ้าฟ้างุ้ม พระโอรสแห่งเมืองลาวมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้พลัดพรากจากชาติภูมิ ไปพำนักที่เขมรตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และต่อมาได้เป็นมหาดเล็กในราชสำนัก เมื่อโตขึ้นจึงคิดจะกลับเมืองลาว ครั้งที่เจ้าฟ้างุ้มเดินทางจากเขมร มีบันทึกว่าได้เข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองลาว สันนิษฐานว่าเจ้าฟ้างุ้มน่าจะนำต้นไม้ชนิดกลับไปยังประเทศลาวด้วย เพราะจากบันทึกของประเทศลาวได้กล่าวถึงต้นไม้ชนิดหนึ่งมีชื่อว่า จำปา (ชื่อเรียกต้นลั่นทมในภาษาลาว) นอกจากนี้ประเทศลาวเอง ยังมีเมืองสำคัญแห่งหนึ่งชื่อ จำปาสัก ซึ่งหมายถึงต้นลั่นทม นั่นเอง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดว่ามีการเดินทางมายังประเทศไทยในช่วงนี้ แต่เป็นที่น่าคิดว่า สมัยสุโขทัยที่มีการยึดอำนาจอาณาจักรขอมน่าจะนำเอาต้นไม้ชนิดนี้เข้ามาบ้าง ราชอาณาจักรไทยกับบันทึกของลั่นทม ในช่วงปี พ.ศ. 2232 – 2238 ชาร์ลส์ พลูมิเยร์ (Charles Plumier) ผู้เขียนเรื่อง The Flora of Tropical America ) ชาวฝรั่งเศสเดินทางไปแถบหมู่เกาะเวสต์อินดีสเพื่อคันหาพืชพันธุ์ใหม่ๆ ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพบพันธุ์ไม้พื้นเมืองชนิดหนึ่งซึ่งนิยมปลูกตามสุสาน ดอกมีกลิ่นหอม ต้นไม้ที่ว่านั้นคือดอกลั่นทม ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ตรงกับสมัยพระนารายณ์มหาราชแห่งราชอาณาจักรสยาม มีการเจริญสันพันธ์ไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส แต่คาดว่าต้นลั่นทมอาจจะยังไม่เข้ามาสู่ประเทศไทยในช่วงนี้ พิจารณาได้จากจดหมายเหตุและพงศาวดารพระราชอาณาจักรสยามครั้งสมัยกรุง ศรีอยุธยา ปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2230 โดยมองซเออร์ เดอ ลาลูแบร์ ( Monsieur de LaLoubere) เอกอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ผู้เข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวายพระราชสาสน์ ณ กรุงสยาม ในคณะทูตานุทูตฝรั่งเศสชุดที่2 ได้เขียนเล่าเรื่องราวของกรุงสยามเป็นภาษาฝรั่งเศสและบันทึกถึงชื่อต้นไม้ ที่ชื่อลั่นทม เหตุอย่างหนึ่งอาจเกิดจากพื้นที่ของอยุธยาเป็นที่ราบลุ่ม ในฤดูน้ำหลากมักเกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งไม่เหมาะกับการปลูกพืชชนิดนี้ จีงยังไม่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่9 (พระเจ้าท้ายสระ) ราวปี พ.ศ.2260 กรุงศรีอยุธยาได้ติดต่อทำการค้ากับประเทศสเปน ในช่วงนี้มีการนำเอาต้นลั่นทมเข้ามามากที่สุดจากฟิลิปปินส์ โดยทหารสเปนที่เข้ามายึดฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมนำลั่นทมจากประเทศแถบละตินอ เมริกาเข้ามายังภูมิภาคนี้ สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาพบหลักฐานทางวรรณคดีที่เอ่ยถึงลั่นทม เรื่องบุณโณวาทคำฉันท์ของพระมหานาค วัดท่าทราย เข้าใจว่าแต่งในราวปี พ.ศ.2293 – 2301 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏตอนพรรณนาถึงลานพระพุทธบาท สระบุรี ดังนี้ “ลั่นทม ระดมดาษ ดุจราชประพัตรา แก้วกรรณิกากา- รเกษกลิ่นกำจรลม” ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเริ่มปรากฏหลัก ฐานเด่นชัดเกี่ยวกับลั่นทมมากขึ้น โดยพบจากงานเขียนในวรรณคดีหลายเรื่องดังความ ในนิราศพระบาทของสุนทรภู่ที่ว่า “ศาลา มีทั้งระฆังห้อย เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน” และสมัยรัชกาลที่4 มีการสร้างพระราชวังที่จังหวัดเพชรบุรี ชื่อพระนครคีรี หรือเขาวัง โดยนำเอาลั่นทมสีขาว (Plumeria obtuse L.) มาปลูกเรียงรายขึ้นไป แลเห็นเป็นเสมือนภูเขาลั่นทมเช่นเดียวกันกับพระราชฐานฤดูร้อนที่เกาะสีชัง ซึ่งรัชกาลที่5 ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น และพระราชทานนามว่า “จุฑาธุชราชฐาน” ปี พ.ศ. 2435 ครั้งนั้นมีการปลูกต้นลั่นทมเป็นจำนวนมากที่เกาะสีชังจนกลายเป็นสัญลักษณ์ ของเกาะนี้ในเวลาต่อมา ส่วนลั่นทมชนิดดอกแดง (Plumeria ruba L.) นั้น พระยาอัชราชทรงสิริเป็นผู้นำมาจากปีนัง และนำมาปลูกที่จังหวัดภูเก็ตคราวพระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ประพาสปีนัง (พ.ศ. 2467)ตั้งแต่นั้นมาจึงเริ่มเห็นดอกลั่นทมสีต่างๆ มากขึ้น

ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าดวงจำปา

การเรียกชื่อพื้นเมืองของลั่นทมแตกต่างกันไป อย่างประเทศเพื่อนบ้านเรายังเรียกชื่อที่แตกต่างกัน เขมร เรียกว่า “จำไป” และ “จำปาซอ” ถ้ามาเลเซียจะเรียกว่า “กำโพชา” “จำปากะ” อินโดนีเซียเรียกว่า “กำโพชา” อินเดียเรียกว่า “พหูล แคร์จำปา” “ซอนจำปา” “จินจำปา” พม่าเรียกว่า “ต่ายกสะกา” แม้แต่ไทยเองยังเรียกแตกต่างกัน ทางพายัพ เรียก “จำปาลาว” อีสานเรียก “จำปาขาว” ปักษ์ใต้เรียก “จำปาขอม” ภาคกลางเรียก “ลั่นทม” ส่วนความหมายของชื่อมีแตกต่างกันไปดังนี้ ลั่นทม แปลว่า ดอกไม้ใหญ่ ลั่น แปลว่าใหญ่ หรือดัง ทม แปลว่าดอกไม้ ลั่นทม แปลว่า ละทิ้งจากความโศกเศร้า ลั่นแปลว่าทิ้ง ทม แปลว่าระทม ลั่นทม แปลว่า รักอันยิ่งใหญ่ เพี้ยนมาจากคำว่า สรัลทม (ภาษาเขมร) ลั่นทม เพี้ยนมาจากคำว่าลานธม ในอดีตของชาวเขมรบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นครธม เขาจะไปยังลานหินแล้วนำเอาดอกไม้ชนิดนี้ไปวางที่ “ลานธม” จีงเพี้ยนกลายเป็นดอกลั่นทม

แต่ที่สำคัญ... เพื่อนรักของฉันยังยืนยันที่จะเรียก ดอกดวงจำปาเช่นเดิม ไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรมากมายกว่านี้หรือเปล่าน่ะสิ.....

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เหงา...

เรียงร้อยถ้อยคำ ยามเหงา

ฝากฟ้า ฝากดาว ส่งถึง

เรียบเรียงจากใจ ใครคนหนึ่ง

ผู้ซึ่ง เคยซื้ง ในวันวาน

อยากบอกเธอว่า ฉันเหงา

ยังเฝ้ารอคอย วันหวาน

คืนซึ่ง ตรึงใจในวันวาน

เวียนผ่าน พานพบ บรรจบคืน

เธอรู้บ้างไหม ใครห่วงหา

อยากย้อนเวลา หวานชื่น

ส่งใจผ่านดาว ทุกค่ำคืน

ยามตื่น วอนไหว้ วานตะวัน

ขอใครคนนั้น ได้รับรู้

คืนสู่ คืนวัน ชวนฝัน

กลับมาผิงดาวด้วยกัน

อิงแอบแนบตะวัน พันดาว