วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร่วมสานฝันปันรอยยิ้ม


วันนี้ NuToi รับหน้าที่ประชาสัมพันธ์ โครงการ “สานฝันปันรอยยิ้ม ครั้งที่ 4” ชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวโอเคเนชั่น ทำบุญร่วมชาติ...อิอิอิ แต่ไม่ได้ชวนตักบาตรร่วมขันนะคะ เพราะงานนี้ไม่เกี่ยวกับพระกับเจ้าค่ะ..
โครงการนี้ เหล่าชาวอนุรักษ์เทคโนโคราชและมิตรสหาย ภายใต้ ชื่อ “ชมรมสานฝันปันรอยยิ้ม” จัดเตรียมงานกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร ทั้งศึกษาข้อมูลและความต้องการรวมถึงสิ่งที่ขาดแคลน...




โดยกิจกรรมที่เราจะทำบุญร่วมชาติ เพื่อ สานฝันปันรอยยิ้ม ให้แก่ น้องๆ ที่โรงเรียนบ้านห้วยน้ำผัก ต.แสงภา อ.นาแห้ว จ.เลย ในครั้งนี้คือ
ต่อเติมและปรับปรุงสิ่งก่อสร้าง อาคารต่างๆ
บริจาคสื่อการเรียนการสอน รองเท้า ชุดกีฬา จักรยาน และอื่นๆ
กิจกรรมสันทนาการ เลี้ยงอาหารกลางวัน แจกของเล่น ชมการแสดงพื้นเมืองจากเด็กๆในชุมชน
กิจกรรมเรียนรู้และศึกษาวิถีชีวิตชุมชน



งานครั้งนี้ จัดออกมาในรูปแบบกิจกรรม งานค่ายค่ะ..ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันหยุดรัฐธรรมนูญที่จะถึง คือ ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2510 รายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ สามารถดูได้จาก http://www.punroyyim.com/
พี่ๆ น้องๆ เพื่อน ชาวโอเคเนชั่น ท่านใดสนใจ ไปร่วมงานหรือสนใจบริจาค แจ้งความจำนงค์ ได้นะคะ...ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ..
ท้ายนี้ NuToi มีข้อความและบทกลอน จากน้องชายร่วมอุดมการณ์ มาฝากด้วยค่ะ


วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

เก็บดาว...


จะเก็บดาวน้อยมาร้อยเป็นมาลัย

ฉันจะเก็บเอาดอกไม้ที่เบ่งบานในยามเช้า

จะก่อไฟให้เธออิงกายยามเหน็บหนาว

จะเล่าเรื่องราวเก่าๆ ให้เจ้าฟัง


ฉันเป็นชายหนุ่มจากบ้านนอกคอกนา

ไร้ปริญญามีเพียงแต่ความฝัน

ฉันมีชีวิตอยู่ไปวันวัน เพียงเพื่อสร้างสรรค์ให้โลกนี้งดงาม


ฉันกำเนิดมาเพื่อจะเป็นผู้ให้

มอบกายใจไว้กับบทเพลงแห่งเสรี

หัวใจฉันเต้นไปตามเสียงดนตรี

ตราบชีวิตมี จะกล่อมโลกนี้ไม่ร้างลา


หลับเถิดเด็กน้อย ไว้เรียนรู้เรื่องราว

ตื่นเถิดหนุ่มสาว ฝันของเจ้ามีความหมาย

พักก่อนเถิดหนาผู้อ่อนล้าจากแดนไกล

เก็บแรงเจ้าไว้ต่อสู้วันใหม่ที่จะมา



















วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

คำพิพากษา...กับโชคชะตาของผู้หญิงคนหนึ่ง

เคยอ่านหนังสือเรื่องคำพิพากษา บทกวีซีไรท์ ของ ชาติ กอบจิตติ ..อ่านแล้วรู้สึกเศร้าและสะท้อนใจไปเป็นอาทิตย์ ด้วยเนื้อที่บีบคั้นความรู้สึกของผู้อ่าน เกิดความรู้สึกสงสารไอ้ฟักจับใจ สัจธรรมที่ว่าสิ่งที่เห็นไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป ในนิยายเรื่องนี้ใช้ไม่ได้ผล..เนื่องจากมีเพียงไอ้ฟักและผู้อ่านเท่านั้นที่รับรู้ความจริงอันเจ็บปวดและน่าสงสารของไอ้ฟัก..แม้ตายเป็นเถ้า ความจริงก็ไม่ปรากฏ.....

เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ..ที่ฉันรู้จักดี..แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงเท่าเรื่องของไอ้ฟัก..แต่มันก็ทำให้เธอผู้นั้นรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย...เธอผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงเก่งที่ความเป็นตัวของตัวเองและมีความมั่นใจในตนเองสูง มีอุปนิสัยร่าเริง เธอไม่ใช่ผู้หญิงแสนดีเป็นผ้าพับไว้ เธอมีแต่ความห้าวๆ กระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกระโหลก!!!

อาจด้วยเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ความมีน้ำใจ หรือเป็นคนที่ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของคนรอบข้าง..สิ่งนี้เองน่าจะเป็นเสน่ห์ในตัวเธอ ที่ทำให้เธอมีคนเดินเข้ามาในชีวิตมากมาย ทั้งที่เธอมิใช่คนสวย!!!!

และสิ่งที่ฟังแล้วเหมือนจะดีเหล่านี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเธอเอง..เพราะคนที่เดินเข้ามามากมายในชีวิตเธอเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ตัวและคนคุ้นเคย..ผิดด้วยหรือที่เธอมีแฟนเป็นเพื่อน หรือมีเพื่อนเป็นแฟน..คำถามนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีเพื่อนคนอื่นๆ ที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับ คนที่ถูกเธอยกฐานะขึ้นไปเป็นแฟน!! โดยเขาคนนั้นได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจลึกๆ ด้วยเธอเลือกเพื่อนของเขาไปแล้ว...เขาซึ่งก็มีเพื่อนสาวในกลุ่มเดียวกันชื่นชอบ..และตัดสินใจคบกันในเวลาต่อมา วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี..ความสัมพันธ์ของทุกๆคนก็ดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอและแฟนหนุ่ม มีอันต้องห่างเหินกันด้วยแฟนหนุ่มตัดสินใจไปเรียนต่ออีกสามปี..ช่วงนั้นเอง เธอซึ่งโดยปกติ เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ มีหนุ่มแยะ(ล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ตัวเช่นเดิม..หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีเพื่อนกลุ่มไหน ก็ถือว่ามีหนุ่มๆ กลุ่มนั้นให้ความรู้สึกที่ดีอยู่เสมอ) และแฟนของเธอก็ทราบเรื่องนี้ดี..แต่สองคนไม่เคยมีปัญหาเพราะไม่มีเรื่องปิดบังซึ่งกันและกัน แม้อยู่ห่างกันก็จะโทรเล่าสู่กันฟังเสมอ..แต่เขาซึ่งเป็นเพียงเพื่อนไม่ได้คิดเช่นนั้น..เขาแสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นอันมากที่มีชายหนุ่มมารับเพื่อนสาวของเขาไปทานข้าว..ถึงขั้นกระชากคอเสื้อจะชกกับผู้ชายคนนั้น..นี่มันกงการอะไรของเพื่อนเนี่ยยยย!!! ..แฟนยังไม่ว่าสักคำ..คำถามเกิดขึ้นจากปากของเธอ..จึงได้รู้ว่า..ถ้าไม่ใช่เพื่อนของเขา..เป็นเขาได้มั้ย..ต้องไม่ใช่คนอื่น

วันเวลาผ่านไปอีกสองปีความห่างของเธอและแฟนยังเหมือนเดิม..เธอทำงาน..ส่วนแฟนยังคนเรียนต่อ..เขาคนนั้นไม่หาเธอที่บ้านพร้อมยิงคำถามและขอเป็นคำตอบสุดท้าย..ถ้าไม่ใช่เพื่อนเขา..ขอเป็นเข้าได้มั้ย..เธอถามย้อนกลับมาว่า แล้วเพื่อนฉันอีกคนล่ะ..เธอเอาเขาไว้ที่ตรงไหน..เขารักเธอมากนะ เขาตอบกลับมาว่า ถ้าเธอเลือกเขา เขาจะเลิกขอเพียงแค่เธอตกลง..คำเดียวเท่านั้น เขาพร้อมที่จะรอ..แต่คำตอบคือ เธอเลือกแฟนของเธอ และต่อว่าเขากลับไปว่า เห็นแก่ตัว เธอจะรักจะเลิกกันอย่าเอาฉันไปเป็นตัวแปรได้มั้ย..เขาตอบเธอเพียงว่า ถ้าเธอไม่เลือกเขา จะให้เขาเลิกมาเพื่อจะอยู่คนเดียวทำไม..มีคนดูแลก็ดีอยู่แล้ว ท้ายที่สุด กลับกลายเป็นว่าแฟนของเขารับรู้เรื่องของเรา (ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากมายเพียงแค่ความรู้สึกของเขาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เธอก็มิได้เห็นดีเห็นงามใดใดทั้งสิ้น) เธอถูกเพื่อนๆ รุมพิพากษา ว่าทำตัวไม่ดี รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแฟนของเพื่อน อีกทั้งเป็นเพื่อนของแฟน ยังไปยุ่งไปเกี่ยว ซึ่งมุมมองที่เพื่อนๆ มองเธอคือ เธอเป็นคนเจ้าชู้ มีคนมาชอบพอเยอะ และเธอก็ไม่เคยปฏิเสธใครแม้แต่คนเดียว ทั้งที่เธอมีแฟนเป็นตัวตนอยู่แล้ว..แฟนของเขาซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักและสนิทกันทั้งหมด ไม่มองหน้าเธอ ไม่พูดกับเธอ...เธอผิดอะไรหรือ???

เวลาอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าอะไรเป็นอะไร..แต่แก้วที่มันร้าว คงทำให้มันต่อกันสนิทโดยไม่มีร่องรอยคงเป็นไปไม่ได้...เวลาผ่านไปเพื่อนก็คือเพื่อน..อาจจะกลับมาคบกันเหมือนเดิม..แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว..ยังมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจตลอดไป

ในเวลาต่อมา..หรือฟ้าดินลงโทษ..หรือว่าเป็นกรรมเก่า..เธอกับแฟนมีอันต้องเลิกรา รักแท้แพ้ระยะทางเสมอ แฟนของเธอพบรักใหม่ ในช่วงเวลาของการไปเรียนต่อ..ซึ่งข้อหาของเธอ ที่ไม่สามารถเดินร่วมทางกับเขาได้อีกต่อไปคือ "เธอเก่งเกินไป...อยู่กับเธอเหมือนอยู่กับหัวหน้า..หรืออยู่กับเจ้านาย" เธอผิดอีกแล้วหรือ" เธอยินยอมจากไปโดยดี เมื่อไม่มีใจให้กัน..รั้งกันไว้ก็รังแต่จะทรมานทุกฝ่าย เขาเจอคนที่ใช่ และดีพอสำหรับเขา แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้..ดีซะอีก เราจะได้มีเพื่อนที่สนิทและรู้ใจมากที่สุดหนึ่งคน..เธอบอกเขาเพื่อให้เขาไม่รู้สึกผิดที่ทอดทิ้งเธอ..

จากนั้นชีวิตที่เหลือเธอก็ใช้ชีวิตโสดอย่างคุ้มค่าเรื่อยมา..เธอมีเพื่อนมากมาย เธอไม่มีเวลาเหงา เธอมีงานดีดีทำ มีชีวิตที่ดี...และแล้ววันหนึ่ง ชีวิตเธอโคจรกลับมาพบกับเพื่อนเก่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในกลุ่มเดิมที่หลงเหลือ..เป็นเพื่อนรักของแฟนเก่า...เป็นเพื่อนรักที่พูดคุย ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และสม่ำเสมอ..เพียงเคยเจอหน้า..เมื่อวันหนึ่งที่ได้เจอหน้ากันความรู้สึกดีๆ อบอุ่นและผูกพัน กลับคืนมา เพื่อนกลับกลัวว่าเราจะคบกัน และอาจทำให้เสียเพื่อนหาก..เขาและเธอคิดลงเอย....เพื่อนทั้งหลายเกรงกลัวอะไรในตัวเธอ..เธอน่ากลัวที่ตรงไหน..เธอทำผิดอะไร คำถามที่ยังต้องการทำตอบและความคิดเห็นของคนที่เป็นกลาง...ไม่ใช่คนที่มองเพียงสิ่งที่เห็น...เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

..ในซากรังเดิม...

เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องอยู่เป็นเวลานาน แต่ฉันหาได้ใส่ใจไม่..ยังคงท่องเน็ตและแชทเอ็ม กับเพื่อนอย่างเพลิดเพลิน แต่เมื่อเสียงฟ้าผ่า เปรี้ยงปร้าง ดังอยากจากทิศทางใดทิทราบได้ มันทำให้ฉันลนลาน ปิดคอมพิวเตอร์แทบไม่ทันเชียวล่ะ..และรีบเดินออกประตูด้านข้างฝั่งระแนงม่านบาหลี เพื่อปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย..เพื่อกันฝนและแขกผู้มิได้รับเชิญจะเข้าบ้านมาอยู่เป็นเพื่อน..ซึ่งฉันไม่ต้องการเพื่อนแบบนั้นนนนนน!!!!

สายฝนเริ่มโปรยปรายมา มองดูที่ท่าแล้วน่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่ฉันโผล่พ้นวงกบประตู..มีเสียงพึบพับ ดังมาจากเหนือศีรษะ ฉันมองตามเสียงนั้นขึ้นไปด้วยความตกใจ..นกตัวหนึ่งบินหนีไปด้วยอาการเหมือนว่าตกใจกลัวฉันเช่นกัน...เอาอีกแล้วหรือ???? เจ้านกมาทำรังตรงนี้อีกแล้ว..ฉันเพิ่งย้าย ด้วยความรู้สึกผิด ใน entry "รังนอน..ที่หายไป" แล้วเจ้าจะมาทำให้ฉันรู้สึกแย่อีกแล้วหรือนี่!!!!..คิดได้ดังนั้น จะต้องรีบเอาเศษไม้เก่าที่ยังเอาออกไม่หมด เมื่อครั้งย้ายรังนก คราวก่อน..เอาออกเสียตั้งแต่เขายังก่อร่างสร้างตัวไม่เสร็จ จะได้ไม่รู้สึกแบบเดิมอีก..คิดได้ดังนั้นก็คว้าเก้าอี้มาปีน...!!! ไม่ทันซะแล้วววว!!!!




บนระแนงที่เป็นซากของรังเดิมที่ฉันเก็บเศษกิ่งไม้ออกไปไม่หมด..ตอนนี้มีไข่ใบเล็กๆ นึกใบ นอนเด่นเป็นสง่า..สร้างความลำบากใจให้เจ้าของสถานที่อย่างฉันซะแล้ว..จะต้องสร้างเป็นมูลนิธิ หรือสถานสงเคราะห์นกไร้ที่อาศัยหรือเปล่านเนี่ย.. หน้าบ้านอีกสองรัง ซึ่งฉันก็ปล่อยให้เขาเป็นธรรมชาติเนื่องจากถือว่าพออภัยและแบ่งปันที่อยู่อาศัยให้ได้ เนื่องจากอยู่กลางกอเฟื่องฟ้า..และอยู่กลางพุ่มลีลาวดีใบลูกศรนั้น คงไม่มีเจ้าขี้นกมารบกวนเจ้าของบ้าน..แต่ที่ตรงนี้สิ..จะจำอย่างไรดี...เฮ้อออ!!! กลุ้ม!!!!

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านฉันไม่ใช่บ้านแม่มด..


สมัยก่อนเคยอ่านนิทานหลายเรื่อง เขาเล่ากันว่า บ้านแม่มดจะเป็นบ้านที่ไม่มีดอกไม้...เป็นบ้านที่มีแต่ความอึมครึมน่ากลัว..และเพื่อนๆก็มักชอบเรียกฉันว่า Pink Devil หรือแม่ปีศาจสีชมพู..ฟังดูเหมือนจะน่ารักนะคะ..แต่คำว่าปีศาจก็ต้องร้ายกาจน่ากลัวอยู่ดี(ด้วยความเป็นคนไม่ยอมคน วิ่งชนดะ เป็นเดือดเป็นแค้นทุกเรื่องแทนเพื่อน เป็นแม่จอมวางแผน(ร้ายๆ) ในทุกๆเรื่อง อิอิอิ)..
เช้าวันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ หลังจากฝนตกหลายวันเกรงว่าจะมีนกมาทำรังที่เดิม ให้ได้ทำบาปอีกรอบเหมือนในบทความตอนที่แล้ว “รังนอน..ที่หายไป” เลยเปิดประตูและแหวกหญ้าที่ขึ้นมาเกือบถึงเข่าอีกแล้ว..ก็ช่วงนี้ฝนตกหนักทุกวัน ซึ่งโดยปกติภาคตะวันออกก็เป็นภาคที่มีแค่สองฤดูกาลอยู่แล้ว คือฝน กับ ร้อน.. ทำให้ไม่มีโอกาสได้ตัดหญ้าสักทีและหญ้าก็ยาวเร็วมากเพราะได้น้ำดี..เดินผ่านไปดู สับปะรดสี กอที่เพื่อนรักได้มาสองต้น และแบ่งให้เราหนึ่งต้น..เขาบอกว่าเมื่อเลี้ยงไปสักพักปลายมันจะเปลี่ยนสี..สงสัยดวงเราคงสมพงษ์กัน สับปะรดกอนั้นเปลี่ยนเป็นปลายสีแดงสวยงาม และที่ตื่นเต้นกว่านั้น..มีดอกออกมาด้วยหนึ่งคู่...

จากนั้นฉันก็เริ่มเดินชม อุทยานดอกไม้ส่วนตัวท่ามกลางป่าหญ้ารกชัฏ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าบ้านฉันเนี่ย ไม่ใช่บ้านแม่มดนะเพราะดอกไม้มากมายพร้อมใจกันออกดอกให้ชื่นชมอยู่ตลอด..ใครๆ ก็ชอบชื่นชมดอกไม้ทีบ้านฉัน...ทั้งที่เลี้ยงดูแบบบุฟเฟ่....ไม่น่าเชื่อว่าบ้านจัดสรรหลังเล็กๆ จะมีพันธุ์ไม้ได้มากมายขนาดนี้ ไหนจะ เล็บมือนางพันรั้วและพวงแสดที่ไปตัดกิ่งมาจากบ้านพี่สาว นำมาปักไว้ใต้ต้นเฟื่องฟ้าซึ่งกำลังโต อีกไม่นานฉันคงเห็นมีเป็นสีส้มปนชมพูเต็มรั้วแน่ๆเลย....

มาชมกัน..นี่ไงคะ...ดอกไม้บานที่บ้าน Pink Devil แม่ปีศาจ สีชมพู อย่าง T.GAng



เอื้องหมายนา จำปา แลจำปี
ทั้งม่านบาหลี ลีลาวดีใบลูกศร
ดาวกระจาย ท้าทาย หมู่ภมร
อีกมังกรคาบแก้ว บานบุรี
ดอกชวนชม หลั่นล้า มาเป็นคู่
แดงชมพู หยอกล้อกับ สับปะรดสี
เล็บมือนาง จันทร์กระจ่างฟ้า ยามราตรี
เฟื่องฟ้ามี อีกกล้วยไม้ มะลิวัลย์
ดาหลา พลับพลึง ชงโค
โอ้โห เบิร์ดออฟพาราไดซ์ บัวสรรค์
กระดังงา พวงแสด เร่งดอกพลัน
มิเช่นนั้น เจ้าจัก พ่ายพุดพิชญา
ระรานตา มากมาย หลายดอกสี
บ้านฉันนี้ ใครเห็น เป็นถามหา
ดอกนี้ ดอกนั้น ท่านได้ แต่ใดมา
ฉันตอบว่า ของฟรีจาก หลากผู้เยือน....

...ใครสนใจแจกพันธุ์ไม้ยินดีรับนะคะ...อิอิอิ


วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

โอ้ดวงจำปา....บุปผาเมืองลาว




..จากจำปาลาว ถึงลั่นทม สู่ลีลาวดี...



ดอกจำปาลาว ที่หลายคนหลงไหลรูปลักษณ์หรือรูปทรงของดอก..ดอกไม้ซึ่งใช้ชีวิตในเมืองไทยในนาม”ดอกลั่นทม” และต่อมาถูกเรียกอยากสวยงามตามหน้าตาของดอกว่า”ลีลาวดี” คือดอกไม้ที่เพื่อนรัก เพื่อนเก่าของฉันหลงไหล...เขาบอกฉันว่า เมื่อได้ฟังเพลงนี้หรือเห็นดอกไม้ชนิดนี้ รู้สึกคิดถึงพวกเรา คิดถึงเพื่อนเก่า ที่เคยกิน เคยนอน เคยทำกิจกรรมร่วมกันมา...แต่ฉันบอกเขาว่าในมุมมองของฉัน เขาเป็นดอกไม้ที่ดูแล้ว บอบบาง และเศร้าสร้อย..เขาตอบกลับมาทันทีเช่นกัน..เขาหลงรักมันที่ตรงนี้..ตรงความบอบบางและเศร้าสร้อย..ของมัน...






...นี่เองสินะคือมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนหลงไหล..”ดวงจำปา” ..เพราะคนส่วนใหญ่มักชอบอะไรที่ดูบอบบาง น่าทนุถนอม มากกว่าความแข็งแกร่ง ทนทาน ที่ดูแล้วเหมือนจะไม่ต้องการ ความเอาใจใส่ดูแล...
ส่วนฉันก็มีความหลังกับดอกดวงจำปานี้เช่นกัน...เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนรักของฉัน ซึ่งเป็นผู้ "ปิดตำนานบ้านสาวโสด" ก่อนหน้าที่จะทำการปิดตำนานนี้ มีเรื่องไม่เข้าใจกันกับคนรัก..แต่ท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากคุณแม่ผู้รักเอ็นดูว่าที่ลูกเขยคนนี้เสียเหลือเกินได้วางแผนนัดแนะให้เรามาทานอาหาร บรรยากาศโรแมนติก ที่มุมอร่อยพัทยา..ชายหนุ่มผู้มิเคยโรแมนติกเลย..แต่ด้วยความรัก..เขาหอบกิ่งดวงจำปาที่หักมาจากในร้าน (เจ้าของร้องร้านจ๊าก นี่ดวงจำปาจากเมืองลาวเชียวนะ) นักคุกเข่าที่พื้นทรายขอเธอแต่งงาน ท่ามกลาง สายตาของคนทั้งร้าน...สาวเจ้ารับรักด้วยความรู้สึก ทั้งอายทั้งดีใจระคนกัน..เมื่อเธอตกลง..เจ้าของร้านและฉันกองเชียร์หลัก จึงจัดงานแต่งงานให้ทั้งคู่ทันที..ว่าแล้ว..แท่ม แทม แท แดม แท่ม แทม แด แดม...


ทันใดนั้นเอง พี่อู๊ดเจ้าของร้านมุมอร่อยพัทยา ผู้ขี้เล่นแบบน่ารักๆ ยืนขึ้นบนเก้าอี้ พร้อม แปลงร่างเป็นบาทหลวง..ส่วนฉันก็เป็นเพื่อนรักที่รอรับช่อ ดวงจำปาช่อนั้น ซึ่งโยนมาเล้ยยย..ตอนนี้ไม่มีคนแย่ง อิอิอิ...เพื่อนำกลับมาปลูกที่บ้าน...เพราะในงานจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ไปกี่งาน..ไม่เคยแย่งช่อดอกไม้ของเจ้าสาวได้เลย...

ส่วนที่มาที่ไปของการฟังเพลงหรือการเห็นดอกดวงจำปานี้ แล้วทำให้คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนเก่า คงมาจาก คำร้องของ เพลงดวงจำปา ฉบับเมืองลาว ซึ่ง อุตมะ จุลมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลาว ได้แต่งเพลงนี้ไว้ในช่วงที่เข้าร่วมชบวนการต่อสู้กู้เอกราชคืนจากฝรั่งเศส เมื่อเกือบห้าสิบปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวให้กับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในสมัยนั้นได้เห็น โดยอุตมะ ได้ใช้ “ดอกจำปา” หรือดอกลั่นทม ที่ชาวลาวนิยมปลูกแต่ในอดีต เป็นสื่อบอกถึงความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของชาวลาว โดยใช้ทำนองขับทุ้มหลวงพระบางในการเอื้อนเพลง ดวงจำปา เพลงนี้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว และสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชาติลาว ในที่สุดฝรั่งเศสก็ยอมคืนเอกราชให้กับประเทศลาวได้ปกครองตนเอง และหลังจากการปฏิวัติม่วนซื่นในลาวเสร็จสิ้นลงเมื่อปี 2518 ท่านผู้นำลาวทั้งหลายก็ได้พร้อมใจกันเลือก ดวงจำปาเป็นดอกไม้ประจำชาติ ตลอดสองฝั่งโขงจากลาวเหนือที่พงสาลีจรดจำปาศักดิ์ที่ปากเซก็นิยมขับทุ้มเพลงนี้กันทั่ว





โอ้ดวงจำปา....เวลาซมดอก นึกเห็นพันซ่อง.... มองเห็นหัวใจ เฮานึกขึ้นได้....ในกลิ่นเจ้าหอม

เห็นสวนดอกไม้....บิดาปลูกไว้....ตั้งแต่นานมา เวลาง่วมเหงา....เจ้าซ่วยบรรเทา....เฮาหายโศกา

เจ้า ดวงจำปา....คู่เคียงเฮามา.... แต่ยามน้อยเอย

กลิ่นเจ้าสำคัญ....ติดพันหัวใจ เป็นน่าฮักใคร่....แพงไว้เซยซม ยามเหงาเฮาดม....เอ๋ยจำปาหอม

เมื่อดมกลิ่นเจ้า....ปานพบเพื่อนเก่า...ที่พรากจากไป เจ้าเป็นดอกไม้....ที่งามวิไล...ตั้งแต่ใดมา

เจ้าดวงจำปา....มาลาขวัญฮัก...ของเฮียมนี้เฮย โอ้ดวงจำปา....บุปผาเมืองลาว

งามดั่งดวงดาว.... ชาวลาวเพิ่งใจ เกิดอยู่ภายใน....แดนดินล้านซ้าง

ถ้าได้พลัดพราก....หนีไปไกลจาก....บ้านเกิดเมืองนอนเฮาจะเอาเจ้า....เป็นเพื่อนบรรเทา....เท่าสิ้นซีวา

เจ้าดวงจำปา....มาลางามยิ่ง....มิ่งเมืองลาวเอย

ต้นจำปาลาวหรือ ลั่นทม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน แตกกิ่งเป็นแฉกเป็นง่ามกระจายออก ทำให้เกิดทรงพุ่มใหญ่ กิ่งเปราะง่าย ทิ้งใบในฤดูแล้ง แล้วผลิดอก และใบรุ่นใหม่ ในช่วงราวเดือนเมษายนเป็นต้นไป เราจะได้ชมดอกลั่นทมบานเต็มต้น ปราศจากใบบัง สวยงามมาก ใบลั่นทมโตเป็นรูปใบหอก แข็งแรงมีสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ถ้าต้นสมบูรณ์ดี ช่อหนึ่งจะมีดอกหลายสิบดอกเป็นกลุ่มสวยงามมาก มีกลีบดอก 5 กลีบ มีหลายลักษณะ บางชนิดกลีบเวียนซ้อนกัน บางชนิดกลีบดอกเรียงกัน บางชนิดปลายกลีบดอกแหลม บางชนิดปลายกลีบดอกมน มากมายหลายสี บางต้นอาจมีดอกมีสีเดียว เช่น ขาว แดง ชมพู แต่บางต้นจะมีดอกที่มีสีแซมกันเป็นหลายสี ขนาดดอกใหญ่ เล็ก ต่างกัน ดอกลั่นทมมีกลิ่นหอมพิเศษ ช่วยให้ผ่อนคลาย ส่วนที่จะหอมมาก หอมน้อย นั้นต่างกันไปแต่ละชนิด จึงเป็นที่นิยมใช้กันมากในวงการสปา และเป็นไม้มงคลของผู้เกิดราศีมีน


ประวัติการเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้นมีหลายกระแสความด้วยกัน บ้างบอกว่าลั่นทมเข้ามาในประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนประเทศอินโดนีเซีย เป็นพันธุ์ดอกสีขาว ใบสีเขียวเข้ม โดยนำมาปลูกที่พระราชวัง บนเขาวัง และที่เกาะสีชัง แต่ก็ยังมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าลั่นทมได้เข้ามายังประเทศไทยก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยมีบทวรรณกรรมของสุนทรภู่ ซึ่งเกิดและเติบโตในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้กล่าวถึงดอกลั่นทมไว้หลายเรื่อง เช่นเดียวกับบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 เรื่องอิเหนาที่กล่าวถึงต้นลั่นทม
“เดินพลางทางชมพรรณไม้ พฤกษาใหญ่เรียบเรียงรื่นร่ม ริมทางหว่างเขาล้วนลั่นทม ต้องลมดอกดวงร่วงเรี่ยทาง”
อิเหนา…พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2
การเดินทางของดวงจำปา
ตามที่เล่า กันต่อๆ มาว่า ต้นลั่นทม ไม่มีใครมาปลูกในบ้านกันหรอก เพราะชื่อฟังแล้วก็ดูระทมแล้ว แต่ในปัจจุบัน ไม้พันธ์นี้ เป็นที่นิยมกันมาก เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณราวพุทธ ศตวรรษที่ 17 โดยเข้ามาทางอาณาจักรขอม (ประเทศกัมพูชา) ในยุคสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่2 (พ.ศ. 1650 – 1700) เป็นกษัตริย์ผู้ทรงสร้างพระนครวัด ในครั้งนั้นเจ้าฟ้างุ้ม พระโอรสแห่งเมืองลาวมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้พลัดพรากจากชาติภูมิ ไปพำนักที่เขมรตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และต่อมาได้เป็นมหาดเล็กในราชสำนัก เมื่อโตขึ้นจึงคิดจะกลับเมืองลาว ครั้งที่เจ้าฟ้างุ้มเดินทางจากเขมร มีบันทึกว่าได้เข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองลาว สันนิษฐานว่าเจ้าฟ้างุ้มน่าจะนำต้นไม้ชนิดกลับไปยังประเทศลาวด้วย เพราะจากบันทึกของประเทศลาวได้กล่าวถึงต้นไม้ชนิดหนึ่งมีชื่อว่า จำปา (ชื่อเรียกต้นลั่นทมในภาษาลาว) นอกจากนี้ประเทศลาวเอง ยังมีเมืองสำคัญแห่งหนึ่งชื่อ จำปาสัก ซึ่งหมายถึงต้นลั่นทม นั่นเอง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดว่ามีการเดินทางมายังประเทศไทยในช่วงนี้ แต่เป็นที่น่าคิดว่า สมัยสุโขทัยที่มีการยึดอำนาจอาณาจักรขอมน่าจะนำเอาต้นไม้ชนิดนี้เข้ามาบ้าง ราชอาณาจักรไทยกับบันทึกของลั่นทม ในช่วงปี พ.ศ. 2232 – 2238 ชาร์ลส์ พลูมิเยร์ (Charles Plumier) ผู้เขียนเรื่อง The Flora of Tropical America ) ชาวฝรั่งเศสเดินทางไปแถบหมู่เกาะเวสต์อินดีสเพื่อคันหาพืชพันธุ์ใหม่ๆ ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพบพันธุ์ไม้พื้นเมืองชนิดหนึ่งซึ่งนิยมปลูกตามสุสาน ดอกมีกลิ่นหอม ต้นไม้ที่ว่านั้นคือดอกลั่นทม ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ตรงกับสมัยพระนารายณ์มหาราชแห่งราชอาณาจักรสยาม มีการเจริญสันพันธ์ไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส แต่คาดว่าต้นลั่นทมอาจจะยังไม่เข้ามาสู่ประเทศไทยในช่วงนี้ พิจารณาได้จากจดหมายเหตุและพงศาวดารพระราชอาณาจักรสยามครั้งสมัยกรุง ศรีอยุธยา ปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2230 โดยมองซเออร์ เดอ ลาลูแบร์ ( Monsieur de LaLoubere) เอกอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ผู้เข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวายพระราชสาสน์ ณ กรุงสยาม ในคณะทูตานุทูตฝรั่งเศสชุดที่2 ได้เขียนเล่าเรื่องราวของกรุงสยามเป็นภาษาฝรั่งเศสและบันทึกถึงชื่อต้นไม้ ที่ชื่อลั่นทม เหตุอย่างหนึ่งอาจเกิดจากพื้นที่ของอยุธยาเป็นที่ราบลุ่ม ในฤดูน้ำหลากมักเกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งไม่เหมาะกับการปลูกพืชชนิดนี้ จีงยังไม่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่9 (พระเจ้าท้ายสระ) ราวปี พ.ศ.2260 กรุงศรีอยุธยาได้ติดต่อทำการค้ากับประเทศสเปน ในช่วงนี้มีการนำเอาต้นลั่นทมเข้ามามากที่สุดจากฟิลิปปินส์ โดยทหารสเปนที่เข้ามายึดฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมนำลั่นทมจากประเทศแถบละตินอ เมริกาเข้ามายังภูมิภาคนี้ สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาพบหลักฐานทางวรรณคดีที่เอ่ยถึงลั่นทม เรื่องบุณโณวาทคำฉันท์ของพระมหานาค วัดท่าทราย เข้าใจว่าแต่งในราวปี พ.ศ.2293 – 2301 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏตอนพรรณนาถึงลานพระพุทธบาท สระบุรี ดังนี้ “ลั่นทม ระดมดาษ ดุจราชประพัตรา แก้วกรรณิกากา- รเกษกลิ่นกำจรลม” ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเริ่มปรากฏหลัก ฐานเด่นชัดเกี่ยวกับลั่นทมมากขึ้น โดยพบจากงานเขียนในวรรณคดีหลายเรื่องดังความ ในนิราศพระบาทของสุนทรภู่ที่ว่า “ศาลา มีทั้งระฆังห้อย เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน” และสมัยรัชกาลที่4 มีการสร้างพระราชวังที่จังหวัดเพชรบุรี ชื่อพระนครคีรี หรือเขาวัง โดยนำเอาลั่นทมสีขาว (Plumeria obtuse L.) มาปลูกเรียงรายขึ้นไป แลเห็นเป็นเสมือนภูเขาลั่นทมเช่นเดียวกันกับพระราชฐานฤดูร้อนที่เกาะสีชัง ซึ่งรัชกาลที่5 ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น และพระราชทานนามว่า “จุฑาธุชราชฐาน” ปี พ.ศ. 2435 ครั้งนั้นมีการปลูกต้นลั่นทมเป็นจำนวนมากที่เกาะสีชังจนกลายเป็นสัญลักษณ์ ของเกาะนี้ในเวลาต่อมา ส่วนลั่นทมชนิดดอกแดง (Plumeria ruba L.) นั้น พระยาอัชราชทรงสิริเป็นผู้นำมาจากปีนัง และนำมาปลูกที่จังหวัดภูเก็ตคราวพระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ประพาสปีนัง (พ.ศ. 2467)ตั้งแต่นั้นมาจึงเริ่มเห็นดอกลั่นทมสีต่างๆ มากขึ้น

ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าดวงจำปา

การเรียกชื่อพื้นเมืองของลั่นทมแตกต่างกันไป อย่างประเทศเพื่อนบ้านเรายังเรียกชื่อที่แตกต่างกัน เขมร เรียกว่า “จำไป” และ “จำปาซอ” ถ้ามาเลเซียจะเรียกว่า “กำโพชา” “จำปากะ” อินโดนีเซียเรียกว่า “กำโพชา” อินเดียเรียกว่า “พหูล แคร์จำปา” “ซอนจำปา” “จินจำปา” พม่าเรียกว่า “ต่ายกสะกา” แม้แต่ไทยเองยังเรียกแตกต่างกัน ทางพายัพ เรียก “จำปาลาว” อีสานเรียก “จำปาขาว” ปักษ์ใต้เรียก “จำปาขอม” ภาคกลางเรียก “ลั่นทม” ส่วนความหมายของชื่อมีแตกต่างกันไปดังนี้ ลั่นทม แปลว่า ดอกไม้ใหญ่ ลั่น แปลว่าใหญ่ หรือดัง ทม แปลว่าดอกไม้ ลั่นทม แปลว่า ละทิ้งจากความโศกเศร้า ลั่นแปลว่าทิ้ง ทม แปลว่าระทม ลั่นทม แปลว่า รักอันยิ่งใหญ่ เพี้ยนมาจากคำว่า สรัลทม (ภาษาเขมร) ลั่นทม เพี้ยนมาจากคำว่าลานธม ในอดีตของชาวเขมรบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นครธม เขาจะไปยังลานหินแล้วนำเอาดอกไม้ชนิดนี้ไปวางที่ “ลานธม” จีงเพี้ยนกลายเป็นดอกลั่นทม

แต่ที่สำคัญ... เพื่อนรักของฉันยังยืนยันที่จะเรียก ดอกดวงจำปาเช่นเดิม ไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรมากมายกว่านี้หรือเปล่าน่ะสิ.....

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เหงา...

เรียงร้อยถ้อยคำ ยามเหงา

ฝากฟ้า ฝากดาว ส่งถึง

เรียบเรียงจากใจ ใครคนหนึ่ง

ผู้ซึ่ง เคยซื้ง ในวันวาน

อยากบอกเธอว่า ฉันเหงา

ยังเฝ้ารอคอย วันหวาน

คืนซึ่ง ตรึงใจในวันวาน

เวียนผ่าน พานพบ บรรจบคืน

เธอรู้บ้างไหม ใครห่วงหา

อยากย้อนเวลา หวานชื่น

ส่งใจผ่านดาว ทุกค่ำคืน

ยามตื่น วอนไหว้ วานตะวัน

ขอใครคนนั้น ได้รับรู้

คืนสู่ คืนวัน ชวนฝัน

กลับมาผิงดาวด้วยกัน

อิงแอบแนบตะวัน พันดาว

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

จดหมายเหตุ แห่งรัก

รักคืออะไร...วานใครช่วยตอบที?????

บ้างก็บอกว่า

“รักคือการให้”

“รักคือกำลังใจ”

“รักคือความอดทน คือการเสียสละ”

มากมายนิยามรัก “สีขาว” ส่วนนิยามรัก “สีดำ” ก็มีมากมายเช่นกัน

“รักคือเหตุแห่งทุกข์”(ที่ไหนมีรัก..ที่นั่นมีทุกข์)

“รักคือความเห็นแก่ตัว”

“ความรักทำให้คนตาบอด”

สำหรับฉัน รักคือสิ่งสวยงาม คือสิ่งจรรโลงโลก บางครั้งเราอาจเป็นทุกข์เพราะมันบ้าง แต่คุณจะปฏิเสธหรือไม่ว่า เวลาที่คุณมีความสุขเพราะมัน ก็ทำให้โลกทั้งใบของคุณสดใส ยิ้มได้ทั้งวัน ฉะนั้น ฉันจึงยินดีที่จะต้อนรับมันทุกเมื่อ ฉันพร้อมที่จะมีความสุขแม้เป็นเวลาสั้นๆ แต่อาจมีทุกข์ใจเพิ่มขึ้นมากมายในชีวิต แต่นั่นคือรสชาดของชีวิต..ฉันถือว่าใช้ชีวิตได้คุ้มค่า... คนเราเกิดมาคงไม่มีใครโชคดีขนาดที่พบความรักที่แท้จริงในครั้งแรก คงต้องผ่านความผิดหวัง สมหวังด้วยกันทั้งนั้น

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ผิดหวังในความรักก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยหวาดกลัวที่จะได้รับความทุกข์อันเกิดจากความรักและปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่เรียกว่า”ความรัก” ฉันพร้อมจะมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไป ดีกว่าปล่อยชีวิตให้ผ่านไปแบบราบเรียบ ใช้ชีวิตไปวันๆ ทำชีวิตเดิมๆ เส้นทางเดิมๆ ...

นิยามรัก สำหรับฉัน “รักอยู่เหนือเหตุผล แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและความเป็นไปได้”

ฉันเคยถามหลายคน ว่าทำไมต้องทำอะไรมากมายขนาดนั้น เพื่อคนที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีความจริงใจให้คุณเลย..เขาเหล่านั้นพยายามพูดหลายร้อยเหตุผลเพื่อให้ฟังดูดี แต่จนแล้วจนรอดฉันก็มิได้รู้สึกว่าคำตอบเหล่านั้นมันสมเหตุสมผลสักเท่าไร ฉันจึงบอกเขาเหล่านั้นว่า”คุณไม่ต้องหาเหตุผลร้อยแปดมาประกอบการกระทำหรอก แค่คุณบอกมาคำเดียวว่าคุณรักเขา “แค่นั้น” ฉันเข้าใจ เพราะสำหรับฉันแล้วความรักมักอยู่เหนือเหตุผลเสมอ”

เพราะอะไร ?????

รักเกิดขึ้นเมื่อไร เกิดจากอะไร เกิดได้อย่างไร ..ไม่มีที่มาตายตัว บางคนเจอรักแรกพบ บางคนเกิดจากความผูกพัน บางคนเกิดจากความเห็นอกให้ใจ ฯลฯ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุด ..ไม่มีสิ่งใด ที่สามารถบังคับหรือควบคุมความรักได้..คุณไม่สามารถสั่งใจให้รักคนที่คุณเจอในครั้งแรก คุณไม่สามารถสั่งใจให้รักคนที่ดีพร้อมและเหมาะสมกับคุณทุกประการ คุณไม่สามารถสั่งใจให้รักคนที่คุณพันผูกมานานแสนนาน แม้เขาจะรักคุณมากที่สุดก็ตาม ...คุณไม่สามารถบังคับหรือสั่งการกับหัวใจตัวเองได้เลย...มันเกิดด้วยตัวของมันเอง มันพร้อมที่จะรักใครสักคนด้วยตัวของมันเอง แม้ว่าคนๆนั้นอาจไม่ดีที่สุดสำหรับคุณ หรือบางคนอาจถึงขั้นแย่ที่สุดสำหรับคุณก็เป็นได้...คุณจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ความรักเข้าครอบงำความรู้สึกของคุณไปเรียบร้อยแล้ว ...

เมื่อรู้ตัวว่าถูกครอบงำด้วยรักเข้าแล้ว สำหรับฉันขอวิเคราะห์ต่ออีกหน่อยว่ามีจะความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดในการเดินทางร่วมกัน เพราะในความเป็นจริง “รัก” อย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้คนสองคนเดินไปได้ถึงฝั่งฝัน มันต้องมีพื้นฐานของความเข้าใจ ตัวตนที่มีส่วนคล้ายคลึงกันบ้าง พูดจาภาษาเดียวกัน ลองไตร่ตรองดูว่า หากความรักเกิดขึ้นกับคนแตกต่างสองคน แม้รักกันหมดใจ ปรับตัวเข้าหากันทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกันและกันด้วยความอดทน..เช่นดังที่ใครบางคนเคยบอกว่า “รักแล้วรักเลย อภัยได้ในทุกสิ่งที่บกพร่อง”..ลองถามตัวเองต่อไปว่าหากสิ่งที่แตกต่างและข้อบกพร่องเหล่านี้ คุณต้องเจอกับมันทุกวัน คุณทนได้จริงหรือเปล่า คุณยอมรับได้ตลอดชีวิตหรือไม่..แล้วค่อยมาเห็นด้วยกับฉันว่า “แม้รักจะอยู่เหนือเหตุผล แต่ทุกอย่างก็ต้องตั้งอยู่บนความจริงที่เป็นไปได้”

ความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและความเป็นไปได้ คือสิ่งเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขและความสมหวัง..แต่ใครล่ะ ที่จะโชคดี ได้พบสิ่งเหล่านั้น ..เมื่อรู้สึกตัวว่าความรักเข้าครอบงำคุณแล้ว คุณจะเริ่มมองหาความเป็นไปได้ หากคุณทำใจให้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง คุณจะสามารถมองเห็นและรับรู้ได้ด้วยตัวคุณเองว่า ความรักครั้งนี้ของคุณนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด..แต่คนส่วนใหญ่เมื่อความรักบังตามองทุกสิ่งสวยงามไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น...อีกทั้งตัวแปรที่สำคัญอีกหนึ่งคือ..ภาพลวงตาที่ถูกสร้างและตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ครั้งเมื่อเจอคนถูกใจ แต่นานไปตัวตนที่แท้จริงปรากฏ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คุณหลายคนมองว่า “พอเก่าเขาเปลี่ยนไป”..ความจริงไม่ใช่...เขาคืนสู่สภาพตัวตนที่แท้จริงต่างหาก...ข้อนี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้สามารถในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้อย่างยากลำบาก..ถือเป็นกรรมเก่าของแต่ละบุคคล...ไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบในโลกนี้..ทุกชีวิต ทุกครอบครัวล้วนแล้วแต่ต้องเจอปัญหา...ต่างกันเพียงจะมากหรือน้อย จะเร็วหรือช้า

....เมื่อปัญหาเกิด ขอแนะนำว่าให้ถอยหนึ่งก้าว เพื่อตั้งสติ พิจารณาที่มาของปัญหา วิเคราะห์ว่าปัญหานั้นๆ เป็นสิ่งที่คนสองคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันจะสามารถร่วมกันแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ หันหน้าพูดคุย ปรึกษาหารือ..หากรับฟังซึ่งกันและกันทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ...หากท้ายที่สุด ไม่สามารถปรับเปลี่ยนซึ่งกันและกันเพื่อแก้ปัญหานั้นได้จริงๆ ถามตัวเองว่า คุณทำใจยอมรับสภาพนั้นได้หรือไม่..บางคนรักมากมาย ยอมทนได้ทุกอย่างขอเพียงมีเธอ..ทุกข์ตลอดชีวิต...บางคนไม่ทน..แตกหัก..ปัญหาที่ตามมาก็คือผลิตผลที่คนสองคนสร้าง..ผ้าขาวบางผืนน้อยๆ...ผ้าขาวผืนที่รอคุณแต่งแต้มสีสันสดใส สวยงาม...แล้วคุณคิดว่าคุณควรจะใช้สีแบบไหนมาแต่งแต้มสีสันบนผ้าผืนน้อยๆ ผืนนั้น....

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมี่ยงปลาข้าวสาร..อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคุณแม่

วันแม่นี้มีเมนูพิเศษสำหรับคุณแม่กันหรือยังคะ..ถ้ายัง นี่เลย..เดอะแก๊งค์ขอเสนอ..”เมี่ยงปลาข้าวสาร..อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคุณแม่” (คุณพ่อหรือคนอื่นๆ ก็ทานได้ค่ะ) เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะ เด็ก สตรีมีครรภ์และผู้สูงอายุ เพราะปลาข้าวสารจะมีแคลเซียมสูง สามารถเสริมสร้างกระดูกและฟัน ขอรับรองว่าอาหารชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอันมาก เราไม่ควรมองข้าม อันนี้อ้างอิงหลักโภชนาการมาเชียวนะคะเนี่ย!!! ที่จริง เมนูนี้มีที่มาที่ไปค่ะ..เคยไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่สัตหีบ และอาหารจานเด่นรับแขกของที่นั่น คือ เมี่ยงเสวย..หลังจากคุณแม่ของเพื่อนมีปัญหาด้านสุขภาพ ไม่สามารถรับประทานอาหารมันๆ ได้ มะพร้าวคั่ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเมี่ยงเสวย จึงถูกเปลี่ยนและ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ปลาข้าวสาร เนื่องจากเป็น สินค้าOToP ของที่นั่น..


วันแม่นี้จะเดินทางกลับบ้านไปนอนหนุนตักแม่.. ซึ่งคุณแม่ก็ชอบทานเมี่ยงเสวย แน่นอนที่สุด เมนูนี้ต้องพิเศษสำหรับคุณแม่...
ฝึกปรือฝีมืออยู่นาน เริ่มจาก หาสูตรน้ำเมี่ยงจากอินเตอร์เน็ต..โดยใช้สูตร เมี่ยงเสวยชาววังเชียวนะมาดัดแปลง..ลองทำลองชิมและลองหาหนูทดลอง..หลายครั้ง..ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ..ทุกคนที่ได้ชิมชมว่าอร่อย กลมกล่อม ลงตัวเหมือนเมี่ยงเสวยชาววังเลย...อิอิอิ..ไม่ได้ชมตัวเองนะเนี่ย..คนชิมเขาบอกมา..
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากเริ่มเลยดีกว่านะคะ..เริ่มจาก เตรียมทอดปลาข้าวสาร ซึ่งต้องชิมดูนะคะว่าเค็มเกินไปหรือเปล่า เพราะบางร้าน ใส่เกลือมากเนื่องจากเกลือทำให้ได้น้ำหนักมากขึ้น ถ้าเค็มก็ล้างน้ำก่อนค่อยนำมาทอดใส่น้ำมันให้ท่วม รอน้ำมันเดือดจัดเพื่อไม่ให้ปลาอมน้ำมัน ลดไฟลงทอดไฟอ่อนๆให้กรอบ ตักพักไว้..เพื่อให้เย็นปลาเย็น กรอบ..จึงเก็บใส่ภาชนะ ที่ปิดสนิทเพื่อคงความกรอบไว้ได้นาน ..ระหว่างที่รอ เราจะตามด้วยขั้นตอนของน้ำเมี่ยง..

เครื่องปรุงน้ำเมี่ยง
น้ำตาลปิ๊บ 300 กรัม
น้ำตาลทราย 200 กรัม
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ปลาข้าวสารทอดกรอบ โขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
กะปิเผา 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงเผา 3 หัว
กระเทียมเผา 3 กลีบ
ขิงซอย 2 แว่น น้ำ 1 ถ้วย
น้ำมะขามเปียก 5 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำน้ำเมี่ยง
1 โขลกหอมแดงเผา กระเทียมเผา ขิง และกะปิให้ละเอียด
2 น้ำตาลใส่หม้อตั้งไฟ ใส่น้ำ 1 ถ้วย น้ำปลา เกลือ พอเดือด
3 ใส่เครื่องที่โขลกไว้
4 ใส่กุ้งแห้งป่น ปลาข้าวสารโขลก มะขามเปียก เคี่ยวต่อจนได้ที่

เสร็จแล้วค่ะสำหรับ,,น้ำเมี่ยง,,ต่อไปก็มาเตรียมเครื่องเคียงกัน ซึ่งประกอบด้วย

- ใบชะพลู
- ปลาข้าวสารทอดกรอบ
- ถั่วลิสงคั่ว ขิง หอมแดง
- มะนาว พริกขี้หนู กุ้งแห้ง
จากนั้นจัดใส่จานสวยงาม นำไปวางที่หน้าคุณแม่ และกราบงามๆ รักคุณแม่ค่ะ....

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องกล้วยๆ




ชูเรื่อง "กล้วย" สร้างกระแสลดน้ำหนัก ทูตพาณิชย์ไทยในญี่ปุ่นทำดี แต่วันนี้กล้วยขาดตลาด




กล้วย ผลไม้พื้นบ้านของไทย ไปทำยอดขายพุ่งที่แดนปลาดิบ เมื่อใช้สื่อเป็นและอย่างเหมาะสม-ต่อเนื่อง ช่วยเสริมภาพลักษณ์สินค้าไทยสบายๆ แต่ตอนนี้ กล้วยในญี่ปุ่นขาดตลาดนี่สิ!!
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาการบริโภคกล้วยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในญี่ปุ่น จนส่งผลให้เกิดภาวะสินค้าขาดตลาดและมีราคาเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรายการโทรทัศน์และนิตยสารต่างระบุว่า การบริโภคกล้วยพร้อมน้ำเปล่าในมื้อเช้าจะช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
"ด้วยเหตุนี้ ความนิยมบริโภคกล้วย จึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2551 ปริมาณกล้วยมีการนําเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติแล้ว กล้วยเป็นสินค้าที่ทางบริษัทต้องวางแผนการขาย เมื่อเทียบกับสับปะรดและแตงโม ซึ่งเป็นผลไม่ที่ได้รับความนิยมมากกว่าในท้องตลาด" นางอัมพวัน กล่าวและว่า นอกจากนี้ในซุปเปอร์มาร์เก็ต รายใหญ่บางจังหวัด ยอดขายกล้วยเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ30 - 50 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้ราคากล้วยพุ่งสูงขึ้น และผู้นําเข้ามีความต้องการนําเข้าเพิ่มขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ผูเบริโภคญี่ปุ่นให้ความมั่นใจสูงเกินไปในผลจากการบริโภคอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งในความเป้นจริงแล้ว ไม่มีอาหารใดในโลกที่มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนักเพียงแค่บริโภคสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว แต่กระแสที่เกิดขึ้นเป็นเพียง ความพยายามเชื่อสิ่งที่รายการโทรทัศน์พยายามสื่อจนกระทั่งเกิดเป็นกระแสสังคมดังกล่าว
เหตุการณ์นี้นับเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ผู้บริโภคญี่ปุ่นเป็นผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารทางสื่อต่างๆ และพร้อมจะเชื่อในสิ่งที่สื่อพยายามชี้นํา จนในบางครั้งเกิดเป็นกระแสใหญ่โตระดับประเทศ ดังนั้น การประชาสัมพันธ์และส่งเสริมสินค้าและบริการของไทยผ่านสื่อต่างๆ อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง จะช่วยส?งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าให้เป็นที่ยอมรับและต้องการของผู้บริโภคญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแน่นอน
สำหรับในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) สินค้ากล้วยของไทยส่งออกไปญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่า 38.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.38 ส่วนภาพรวมไทยส่งออกกล้วยทั่วโลก 128 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.88
มารู้เรื่องของ "กล้วย" ผลไม้พื้นบ้านที่รับประทานง่าย แต่คุณค่าทางอาหารที่ได้มีไม่ได้น้อย เพราะนำมาทำอาหาร ได้เกือบทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นลูก ดอก หยวกกินได้หมด และคนไทยเราพลิกแพลงนำเอา กล้วยมาประกอบอาหารได้หลากเมนู ทั้งคาวและหวาน แถมยังมีให้เลือหลายพันธุ์ทั้ง กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ เป็นต้น
กล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที
ประโยชน์ก็กล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้นราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก
3. กำลังสมอง มีงานวิจัยในกลุ่มนักเรียน 200 คน โรงเรียน Twickenham พบว่ากินกล้วยมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนป็น ฆerotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบประสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกิน กล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้
แค่กล้วยๆ ทุกๆ วันสารพัดความดีก็เต็มเปี่ยมอยู่ในตัวแล้ว


ที่มา : บทความจากอินเตอร์เน็ต



รูปภาพประกอบ : จากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

AutoCAD ง่ายกว่าที่คิด ตอน คำสั่งเขียนเส้น

ในตอนที่แล้วเรารู้จักหลักการกันแล้ว..ต่อไปก้อต้องเริ่มทำความรู้จักกับคำสั่งที่ใช้งานกันนะคะ..เริ่มด้วย..




Line – วาดส่วนของเส้นตรงในระนาบ
คำสั่งนี้จะวาดเส้นตรงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งตามที่ผู้ใช้กำหนด ในการเรียกคำสั่งแต่ละครั้งสามารถสร้างเส้นตรงได้หลายเส้นโดยแต่ละเส้นจะต่อเนื่องกันไป กล่าวคือ จุดปลายของเส้นแรกจะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นต่อไป และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าผู้ใช้จะสั่งให้หยุด(ออกจากคำสั่ง) ดังตัวอย่างข้างล่างนี้

เมนูคำสั่ง : Draw > line /
รูปแบบคำสั่ง :
1. Command : l ...................................(เรียกคำสั่ง)
2. Line from point : .............................(กำหนดจุดเริ่มต้น)
3. To point : ....................................(จุดปลายของเส้นแรก)
4. To point : ....................................(จุดปลายของเส้นที่สอง)
5. c (close): ....................................(ปิด รูป )

อธิบายการใช้คำสั่ง
1. เรียกคำสั่ง
2. กำหนดจุดเริ่มต้นของเส้นตรง
3. กำหนดจุดปลายของเส้นแรก
4. กำหนดจุดปลายของเส้นที่สอง(ถ้ามี) โดยเส้นที่สองนี้จะมีจุดเริ่มต้นที่จุดปลายของเส้นแรก(ในบรรทัดที่สอง)
5. กำหนดจุดสิ้นสุดของเส้น ให้อยู่ที่จุดแรก (เส้นที่เกิดหลังใช้คำสั่ง close นี้จะเป็นเส้นจาก จุดสุดท้าย ไปยังจุดเริ่มต้น)









กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....




วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เริ่มต้น AutoCAD ง่ายกว่าที่คิด









การเขียนแบบใช้เป็นภาษาสากล เป็นระบบสร้างภาพเพื่อถ่ายทอดแบบที่อยู่ใน ความคิด หรือเพื่อช่วยเสริมให้การใช้คู่มือแนะนำการประกอบติดตั้งมีความถูกต้องแม่นยำ

งานเขียนแบบมีบทบาทสำคัญมาแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน อาชีพงานเขียนแบบได้แตกแขนง ออกไปอย่างมากมาย จนสามารถกำหนดเป็นลักษณะวิชาชีพงานเขียนแบบได้ ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของเราเอง ที่เริ่มต้นจาก เขียนแบบ สถาปัตยกรรม คือเขียนแบบบ้านนั่นเอง..แต่พลิกผันมาทำงานเขียนแบบ วิศวกรรม ซึ่ง ก้ออาศัยพื้นฐานการเขียนแบบเดียวกัน

ฉะนั้น เราจึงสรุปได้ว่า ถ้ามีพื้นความรู้ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ เขียนแบบด้วยมือได้ อ่านแบบออก AutoCAD ง่ายนิดเดียว
ที่บอกว่าง่าย..ไม่ใช่ว่าเราเก่งนะ..

เพียงแต่ พยายามจะหาวิธี หรือเทคนิดเล็กๆ น้อยๆ ให้เพื่อนๆ สามารถเริ่มต้นเรียนรู้จากความเข้าใจ..มากกว่าท่องจำ..อะไรก้อตามที่เกิดจากความเข้าใจจะง่ายเสมอ..
ก่อนอื่น ต้องรู้จัก หลักการของ โปรแกรม Auto Cad


AutoCAD เป็น โปรแกรมไว้สำหรับเขียนแบบนั่นแหละ เปรียบเทียบกับการเขียนด้วยมือ ตรงที่ ดินสอขีดเส้น ปากกา ก็คือ เครื่องมือขีดเส้น เปรียบได้กับคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในการเขียนรูปที่เป็น เส้นตรง

  • วงเวียน ก็คือ เครื่องมือเขียน วงกลมกับ เส้นโค้ง เปรียบได้กับคำสั่ง ที่ใช้ในการเขียน วงกลมและเส้นโค้ง

  • ยางลบ ก็คือ ปุ่ม delete กับ เครื่องมือ ตัดเส้นที่วิ่งตัดกัน

  • ไม้ที หรือ T-Slide เซต สเกล ก็คือ การพิมพ์ตัวเลขเพื่อบอกระยะ


วันนี้ขอจบตอนเริ่มต้นทำความเข้าใจกับโปรแกรมไว้เท่านี้ก่อนนะคะ..เดี๋ยวจะมาสอนเริ่มต้นเขียนในตอนหน้า




ลับไปเฮฮาที่หน้าเดิม...

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผลไม้ทายนิสัย

เพื่อนๆ ชอบทานผลไม้อะไรกันคะ...เชื่อมั้ยว่าผลไม้ต่างๆ ทายนิสัยใจคอของผู้ทานได้..ว่าอย่างไร..

กล้วย คนที่ชอบทานกล้วย ภายนอกดูจะเป็นคนเงียบขรึม แต่นิสัยจริงๆคืออ่อนไหวง่าย ถ้าถูกใครพูดกระทบกระแทกหน่อย ก็จะเก็บเอาไปคิดเสียใจ เป็นคนโอบอ้อมอารี มีเหตุผล รอบคอบ มองการณ์ไกล ชอบวางแผน อนาคตให้ตัวเอง และคนที่อยู่รอบข้างเสมอ เป็นคนนิสัยรักสันโดษ เป็นคนที่มีจิตเป็นกุศล ชอบทำบุญแก่คนทุกข์ยาก.

กระท้อน คนชอบกินกระท้อน จะมีลักษณะแข็งนอกอ่อนใน ดูภายนอกเหมือนคนก้าวร้าวแต่ จริง ๆจิตใจดี อ่อนไหวง่าย ไม่ชอบความรุนแรง รักสงบ.

เงาะ สาวๆ ที่ชอบกินเงาะ จะเป็นคนค่อนข้างขี้เล่น สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ ถึงคุณจะขี้โม้ไปบ้างแต่ เพื่อนๆ ก็ชอบในความร่าเริงสนุกสนานของคุณ.

ชมพู่ เป็นคนขี้เกรงใจ จะชอบกินชมพู่มากเป็นพิเศษ มีความอดทนสูง ยิ้มได้ในทุกสถานการณ์ คนมองโลกในแง่ร้าย และคิดมาก แต่ไม่ชอบที่จะทำร้ายจิตใจใคร จริง ๆดังนั้นถ้าหนุ่มคนไหน ชอบกินชมพู่เป็นพิเศษล่ะก็ควรจะเอาใจเค้าให้มาก เพราะเค้าจะคิด อะไร ๆ ไปในทางลบเสมอ.

แตงโม ของว่างจานโปรดสำหรับสาวใจกว้าง อ่อนโยน มีน้ำใจกับมิตรสหาย ซื่อสัตย์ไม่คิดคดทรยศ เป็นคน ง่าย ๆมองโลกในแง่ดี จะไม่ค่อยโวยวายหรือคิดมาก ตั้งอกตั้งใจทำงานดี แต่มักแพ้ภัยแก่เพศตรงข้าม และคนที่ชอบกินแตงโม จะเป็นคนที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนฝูงอีกด้วย.

ฝรั่ง ใครที่ชอบฝรั่งมักเป็นคนรักอิสระ ชอบที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซากจำเจ.

มะพร้าว เพื่อนๆที่ชอบมะพร้าวมักเป็นคนใจบุญ มีจิตเป็นกุศล มองโลกในแง่ดี วาจาคมคาย พูดจาเหน็บคนให้เจ็บด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ.

มะละกอ ผลไม้โปรดของคนที่มีน้ำอดน้ำทนสูง มีความคิดลุ่มลึก คิดเป็นเหตุเป็นผล วางแผนแยบยล.

มังคุด เหมาะสำหรับคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว ช่างฝันและมีอารมณ์โรแมนติก อ่อนไหวง่าย รักใครได้ง่ายๆ และเก็บเอาไปนึกคิดคนเดียว แต่ไม่นานก็ลืมเอาดื้อๆแล้วก็ไปหลงคนอื่นต่อไปเรื่อยเปื่อย พูด ง่ายๆ คือเป็นผลไม้สำหรับคนเจ้าชู้ไงจ๊ะ.

ลองกอง พวกที่ยึดเอาลองกองเป็นอาหารหลัก เป็นคนรักสันโดษชอบเดินทาง ชอบการผจญภัยในที่ที่ตนเองไม่เคยไป อนุรักษ์นิยม.



ลางสาด สำหรับเพื่อนๆที่เลือกลางสาดเป็นผลไม้หลัก จะเป็นคนอนุรักษ์นิยม ยึดมั่นในแนวความคิด เก่าๆ ชอบวิถีทางที่เคยทำมาแต่ก่อน แต่เป็นคนมีเหตุผล.

ลิ้นจี่ ผลไม้สำหรับคนชอบทำงาน เบาๆไม่ต้องใช้กำลังแรงงานมากๆคนชอบทานลิ้นจี่กลัว เพื่อนๆจะลำบากน้อยกว่า เลยให้ เพื่อนๆ เอางานไปช่วยทำซะหมด ตัวเองคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง.

ลำไย คนชอบทานผลไม้เม็ดเล็กชนิดนี้มักเป็นคนปากหวาน ชอบประจบประแจง ใช้คำพูดยกยอคนให้หลงปลื้ม แต่มักเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง.

สตรอเบอร์รี่ ถ้าชอบทานสตรอเบอร์รี่ บอกได้เลยว่าคุณเป็นสาวคุยสนุก มีอารมณ์ขัน ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ตลอดเวลา เป็นที่ต้องการของเพื่อนๆในกลุ่ม และเมื่อจะพูดคุยหรือทำอะไรก็ต้องมีคนดู คนฟัง และค่อนข้างมีรสนิยมทีเดียว.

สาลี ผลไม้คุณหนู ผู้ที่ชอบทานมักจะมีนิสัยอ่อนหวาน สุภาพ อ่อนโยน ไม่ชอบขัดใจใคร มองโลกในแง่ดี ไม่นินทาว่าร้ายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี

ส้มเขียวหวาน เห็นชอบส้มอย่างนี้เป็นคนทันสมัย หัวก้าวหน้า แต่มักมีนิสัยหึงหวงเพศตรงข้ามอยู่ เนืองๆ มัธยัสถ์ รู้จักใช้จ่าย.

ส้มโอ คนที่ชอบส้มโอจะเป็นคนที่รักความสบาย ความหรูหรา โอ่อ่า ใจอ่อนง่าย ถ้ามี ใครๆ มาตื๊อก็คงยอมให้กันทุกอย่างแบบเทกระเป๋าไปเลย.

สับปะรด ผู้ที่ชอบกินเป็นคนที่แคร์คนอื่นมากเกินไป มัวแต่ไปเอาใจคนอื่นเกินไป ทำให้เพื่อน ๆมักจะรำคาญและเบื่อหน่ายอยู่เสมอ.

องุ่น ผลไม้ยอดฮิตของคนสวยมีเสน่ห์ มักเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย นิสัยร่าเริง มีความคิดความอ่านสุขุมรอบคอบ ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันนัก ไม่ค่อยชอบบอกเรื่องส่วนตัวให้ใครรู้ ง่ายๆ.

แอ๊ปเปิล ผลไม้ของคนขี้เหงา ขาดเพื่อนไม่ได้ เป็นคนไม่ค่อยแคร์เรื่องความรัก คือนึกจะรักใครก็รัก นึกจะเลิกก็เลิกขึ้นมาง่ายๆ แต่จะเป็นคนที่มีความอดทนในเรื่องการทำงาน


กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....